สมาธิ-สติแตก...‘หงส์’พังพาบคาแอนฟิลด์ ส่อมงกุฎกระเด็น!!!!
1-4 ยับเยินคาแอนฟิลด์ให้กับคู่ปรับร่วมสมัย
อาจไม่เกี่ยวกับเรื่องการผสมเทียมในแนวรับที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ต้องแก้ไขปัญหาทุกแมทช์ แต่เป็นเรื่องของสมาธิ และความมั่นใจที่หดหายไปในเกม............
เกมใหญ่ที่ไม่มีใคร “อยากแพ้”
เป็นการเจอกันของสองทีมที่เล่น “ลิงชิงบอล” กันจนชำนาญ ความสามารถดี ครองบอลดี , คุณภาพในการเล่น และเข้าถึงแผนโค้ช
แมนฯซิตี้ วาง ฟิล โฟเด้น ยืนเป็นตัวบนสุดในฐานะ “กองหน้าตัวหลอก” โดยให้การทะยานชนขึ้นมาของ อิลคาย ขนาบข้างแกนรุกด้วย ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และ ริยาด มาห์เรซ
พวกเขาพยายามกระจายบอลไปให้กว้างที่สุด เพื่อให้นักบอลลิเวอร์พูล ใช้พลังให้มากที่สุด และเพื่อการทำให้ออกจากพื้นที่ เพียงแต่ ลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อปป์ สอดซ้อนที่ดีมาก
แน่นอนว่า ในเรื่องคุณภาพของนักบอลมันสูสีมาก ทำให้เกมออกมาแบบเกร็ง ๆ โอกาสยิงน้อย เพราะเน้นกันทุกจังหวะ
ย้ำเลยว่า เน้นทุกจังหวะจริงๆ
หลังจากผ่านมาครึ่งทาง “หงส์แดง” ครองเกมได้ หนึ่งในนั้นเครดิตอยู่ที่ เคอร์ติส โจนส์ ที่เคลื่อนตัวได้อย่างทรงพลัง
โจนส์ ลงมาเล่นต่ำ เพื่อช่วยไล่บีบพื้นที่ก่อนถึงแนวรับ เขาต้องทำหน้าที่ที่ ไวจ์นัลดุม เคยทำเอาไว้ นั่นคือวิ่งให้สุด แล้วสกรีนในลักษณะ “ตัว L”
กระทั่ง ลิเวอร์พูล มีโอกาสก่อน นาทีที่ 23.58 มาเน่ ได้โขกจากการทำเกมของ เทรนท์ ที่พลิกหนี ซินเชงโก้ แบบดื้อๆ
จากนั้นเป็นช่วงเวลาของ หงส์แดง ที่เดินเครื่องและครองบอลแบบเบ็ดเสร็จ ฟิร์มิโน่ สะบัดด้วยขวาก็น่าจะเสียบใต้คานเช่นกันเมื่อผ่านไปครึ่งชั่วโมง
เกมตกเป็นของแชมป์อย่างสิ้นเชิง การกระชากเข้าไปใส่ดื้อ ๆ ของ ราฮีม ที่ไปเอาจุดโทษแบบ ไม่ต้องดูหรอกวีเออาร์ตัดสินกันไปเลย
แล้ว อิลคาย ก็ยิงออกไปแบบไม่ได้ลุ้น อาจจะนึกถึงซูเปอร์โบวล์ในเช้าวันนี้ก่อนยิง พลาดเหมือนเมื่อ 2 ซีซั่นก่อนที่ มาห์เรซ ยิงไม่เข้าที่นี่เช่นเดียวกัน
หมดครึ่งแรกไข่ไม่แตก โอกาสจะ ๆ อยู่ที่ ซิตี้ จากจุดโทษ แต่ ลิเวอร์พูล สร้างจังหวะยิงได้ดีกว่า และใช้พลังไปเยอะกว่า
ครึ่งหลัง
บอลมันเปิดขึ้นมาเหมือนจะเป็นเหมือนท้ายครึ่งแรก แต่การพลาดนิดเดียวในการป้องกันด้านขวา ทำให้ แมนฯซิตี้ ได้ประตูขึ้นนำ เมื่อ สเตอร์ลิ่ง เลี้ยงผ่าน เทรนท์ มาแบบหมูหวาน และหนนี้ ฟาบินโญ่ ก็ไม่กล้าสกัด เพราะกลัว ราฮีม จะสะดุดล้มไปอีก
ก่อนบอลจะถึง โฟเด้น ยิงติดเซฟ อลิสซอน แต่ดาบสองของ อิลคาย ไม่พลาด ถือเป็นการเสียง่าย เพราะโดนเลี้ยงเข้าไปยิงแบบซึ่งๆหน้า
น่าสนใจในการกลับมาสู่เกม ด้วยการเล่นที่ไม่ก้มหน้าของ เทรนท์ เขาจ่ายแดร๊กบอล และเออร์ลี่ย์ ครอส ได้ต่อเนื่อง ก่อนจะทิ้งยาว
600 นาทีของแมนฯซิตี้ เป็นหมันไปเรียบร้อย เช่นเดียวกับการยิงใครไม่ได้ในแอนฟิลด์ยาวนานกว่า 400 นาทีก็ยุติลง
การสังหารประตูรอคอยจนถึงการง้างไกครั้งที่ 78 เมื่อได้ล่อเป้าบ้างที่จุดโทษ เมื่อ เทรนท์ ทิ้งทแยงตรงไปให้กับ ซาลาห์ พุ่งไปแตะบอลแล้วโดน ดิอาซ ดึงล้มลงไป และนี่คือประตูที่รอคอย
ซาลาห์ เลือกยิงมุมสูง นี่คือสิ่งที่ ลิเวอร์พูล จะต้องกลับมาให้ได้ก็คือ การยิงประตูในแอนฟิลด์ ซึ่งปีก่อนเฉลี่ยคือง้างไก 6 ครั้งจะได้ 1 ประตู นี่รอนานแบบไม่น่าเชื่อกับบอลบุกแบบนี้ ก็แน่แหล่ะมาแต่ละทีมเล่นแต่รถบัส รถผ้าป่าไม่ว่าจะเบอร์ไหน ทีมใหญ่ทีมเล็กเล่นอุดเหมือนกันหมด
คล็อปป์ เลือกจะเปลี่ยนเกมทันที โดยให้เวลากับ มิลเนอร์ และ ชากีรี่ ครึ่งทางของครึ่งหลัง
จุดนี้เชื่อว่า คล็อปป์ จำเป็นต้องทำ เพราะ ธิอาโก้ ใบเหลืองไม่เท่ากับหมดแรง
แต่โจนส์ มีเกมที่ดีมากนะ........
.....แล้วในที่สุดการเสียสมาธิ และเสียง่ายเกิดขึ้นอีกครั้ง จากคนที่น่าจะมั่นใจที่สุดคนหนึ่งของทีมคือ อลิสซอน เบ๊คเกอร์
เขาเตะแบบผิดฟอร์มสุด ๆ กับนายประตูที่ใช้เท้าได้ดีที่สุดคนหนึ่งของลีก ก่อนจะโดนลงโทษแบบสาสม และเป็น อิลคาย ที่เป็นคนยิงได้อีกแล้ว
ลูกในลักษณะแบบนี้ไม่ควรเสีย
อีกลูกก็ยิ่งแบบ “เลอะเทอะ” มาก และ “น่าตกใจมาก” เป็นการเสียแบบไม่ควรเสีย
บอลแบบนี้นอกจาก อลิสซอน แล้ว ก็ต้องโทษเพื่อนด้วยที่ว่า นาทีนั้นไม่ควรจะส่งให้เล่นบ่อยๆ แต่การเตะแบบขอไปทีแบบนี้ ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับนายประตูในระดับนี้
ไม่รู้ว่าหายไข้หรือยัง แต่เกมนี้คือฝันร้าย และก็ต้องรับไปตามระเบียบ พร้อมกับต้องรับกับคำวิจารณ์ที่เกิดขึ้นในฐานะมืออาชีพ
บอลใหญ่ไม่ควรจะพลาดอะไรเลย โดยเฉพาะคำว่า “สมาธิ” เรื่องนี้สำคัญมากๆ
เสียสมาธิไปแค่ไม่กี่วินาที ก็จะโดนลงโทษแบบที่เห็น โดยเฉพาะการขึ้นมาดีใจด้วยของ เอแดร์ซอน โมราเอส แสดงให้เห็นแล้วว่า เขาอาจจะมีแพสชั่นมีสปิริตทีมกับซิตี้ แต่ขณะเดียวกัน ในใจเขาอาจคิดตรงข้ามกับบทสัมภาษณ์ต่อ อลิสซอน มาเสมอ................
พร้อมกับเป็นการตอกย้ำซ้ำทวนว่า แมนฯซิตี้ คือเต็ง 1 และจะเอามงกุฎแชมป์คืน
การขาด เควิน เดอ บรอย(เน่อะ) กับ เซร์คิโอ อเกวโร่ ไม่มีผลอะไรต่อสมดุลในเกมเลยแม้แต่น้อย............
สำหรับ ลิเวอร์พูล คือ “แพ้ทั้งทีม” โดยเฉพาะการเสีย 3 ประตูใน 10 นาทีสร้างความแตกต่างทั้งหมด สำคัญที่สุดก็คือ จะลุกขึ้นมาได้เร็วแค่ไหน กับสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด
กลับกลายเป็นที่ที่หวั่นใจที่สุดไปแล้ว
เป็ป ชนะนัดแรกที่แอนฟิลด์
คล็อปป์ แพ้ในบ้าน 3 เกมติดต่อกันเป็นครั้งแรก...........
สำคัญที่สุด ชีวิตก็ดำเนินต่อไป แต่จะไปอย่างไรนั่นเป็นเรื่อง “ใจนำ”
Man of the Match : ฟิล โฟเด้น ยิ่งเล่นยิ่งดีเครื่องฟิตสตาร์ทติดตลอด
#บีแหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี