เล่นเอาโล่!!!!หงส์หักกระโดงเรือยึดแชมป์‘16ปีที่รอคอย’

ปิดปีไม่ค่อยโสภา ได้มา2แชมป์ยังโดนด่าโดนล้อ งั้นขอเปิดฉากดี ๆ บ้าง จะเป็นไรไป……

ศึกลั่นกลองเคาะระฆังในศึกเอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ 2022 “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ในฐานะแชมป์เอฟเอ คัพ ดวลกับคู่ปรับแห่งยุค “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์พรีเมียร์ลีก

ลิเวอร์พูล ชนะ 3-1 ได้แชมป์หนนี้ครั้งแรกรอบ 16 ปี

เยอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือของทีมได้ออกมายืนยันว่าจะไม่มีนายทวารมือหนึ่งและสองอย่าง อลิสซอน เบ็คเกอร์ และควิวีน เคลเลเฮอร์ ที่มีอาการบาดเจ็บยังไม่สมบูรณ์ รวมไปถึงผู้เล่นเอ้าท์ฟิลด์อย่าง ดีโอโก้ โชต้า และอเล็กซ์ อ๊อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน

ทำให้ไม่มีทางเลือกต้องใช้ อาเดรียน ผู้รักษาประตูมือสามลงเฝ้าเสา เพราะตัวที่มีอยู่เป็นดาวรุ่งอย่าง ฮาร์วีย์ เดวีส์ และฟาเบียน โรเซ็ค ส่วน คอนสแตนตินอส ซิมิกาส แบ๊กซ้ายทีมชาติกรีซต้องรอทดสอบความฟิต นอกนั้นไม่มีปัญหาอะไร ยึดระบบการเล่น 4-3-3 เหมือนเดิม จัดทัพตามสภาพความฟิตของนักเตะ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน คุมแดนกลางร่วมกับ ฟาบินโญ่ และธีอาโก้ อัลคันทาร่า สามประสานในเกมรุกใช้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และหลุยส์ ดิอาซ

ทางฝั่ง “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การคุมทีมของ เป๊บ กวาร์ดิโอล่า ไม่ค่อยเผยไต๋ในช่วงปรีซีซั่น พวกเขาลงอุ่นเครื่องที่สหรัฐอเมริกาไปเพียงแค่ 2 เกมเท่านั้น ชนะ คลับ อเมริกา 2-1 และชนะ บาเยิร์น มิวนิค 1-0 ทีมมีการเปลี่ยนแปลงบางตำแหน่ง กาเบรี่ยล เฮซุส, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และโอเล็คซานเดอร์ ชินเชนโก้ ถูกขายออกไป แต่ก็เสริมผู้เล่นบิ๊กเนมเข้ามา 2 รายคือ เออร์ลิ่ง เบร้าท์ ฮาลันด์ และคัลวิน ฟิลิปป์ส พร้อมด้วยนายทวารสำรองที่จะมาเป็นแบ๊กอัพของ เอแดร์ซอน โมลาเอส อย่าง สเตฟาน ออร์เตก้า โมเรโน่

สถิติการพบกันในรายการนี้พบกันแค่ครั้งเดียวเมื่อปี 2019 เสมอกันในเวลา 1-1 ก่อนที่ แมนฯซิตี้ จะดวลจุดโทษเอาชนะไปได้ 5-4 ส่วนการดวลกัน 5 เกมหลังสุด ผลัดกันชนะไปฝั่งล่ะ 1 ครั้ง และเสมอ 3  

11 ผู้เล่นที่ลงสนาม ลิเวอร์พูล (4-3-3): อาเดรียน, เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โฌแอล มาติ๊ป, เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ่, ธีอาโก้ อัลคันทาร่า, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และหลุยส์ ดิอาซ

แมนฯซิตี้ (4-3-3): เอแดร์ซอน, ไคล์ วอล์คเกอร์, รูเบน ดิอาส, เนธาน อาเก้, ชูเอา กานเซโล่, เควิน เดอ บรอยน์, โรดรี้, แบร์นาร์โด้ ซิลวา, ริยาด มาห์เรซ, เออร์ลิ่ง เบร้าท์ ฮาลันด์ และแจ็ค กรีลิช        

............

เกมนี้ความผิดพลาดในการจ่ายบอลเกิดขึ้นมากมาย บอลล้นไปล้นมา ไม่คนนั้นก็คนนี้อยู่บ่อยครั้ง ผิดกับที่เราได้เห็นจาก 2 เกมที่พบกันในลีกเมื่อซีซั่นก่อน รวมถึงแมทช์ตัดเชือกเอฟเอ คัพ

เป็นเรื่องปกติเพราะนี่คือช่วงที่ยังไม่เข้าสู่ฤดูกาล เพียงแต่มันมี”โล่เกียรติยศ”มากระตุกต่อมหัวใจ

ครึ่งแรก เราได้เห็นความแตกต่างของ ลิเวอร์พูล ในช่วง 30 นาทีแรก ก่อนจะได้ประตูขึ้นนำ นั่นคือ การขยับเข้าหาคู่แข่งแบบ”เป็นชุด”

สไตล์การเล่นแบบ “กินโต๊ะ” แบบนี้เราไม่ค่อยได้เห็นมาในช่วงท้ายซีซั่นก่อน เพราะเป็นการเล่นที่อาศัยพลังกำลังและความเข้าใจกันสูงมาก อีกทั้งมีความเสี่ยงที่จะเจ็บมากขึ้นด้วย

แต่สิ่งที่ปลุกให้ คล็อปป์ เลือกแบบนี้ เดาได้จาก 2 ประเด็นง่าย ๆ นั่นก็คือ การทดสอบกล้ามเนื้อของนักเตะตัวเอง กับวัดไปเลยว่า ซิตี้ เองก็ยังไม่ฟิตอะไรมากนัก

นาทีที่ 3 ซาลาห์โชว์ความมั่นใจและปราดเปรียว ลากไปยิงแบบดื้อ ๆ แต่เข้าข้าง

นาทีที่ 14 ลูกโหม่งของ ร็อบโบ้ ที่เสาสองออกไปแบบโล่ง ๆ แล้วแท้ๆ

หรือจะเป็นนาทีที่ 19 ลูกเปิดของ เฮนโด้ แต่ถูก เอแดร์ซอน ผวาปัดไว้ได้ แม้บอลมันจะแฉลบเปลี่ยนทางไปแล้วก็ตาม

จนถึงประตูออกนำในนาทีที่ 21 เทรนท์ อยู่ในรัศมีที่ยิงได้ ลูกนั้นถือว่าเตะไปแบบไม่แรงนัก แต่เมื่อมีแฉลบศีรษะของ “บักเอก” อาเก้ มันจึงเป็นสกอร์ของ ลิเวอร์พูล

ในช่วงเวลานั้น ลิเวอร์พูล กลับมาครองเกมได้อีกครั้ง และเร่งได้ประมาณนาทีเดียวก็ได้ประตูเลย

อย่างไรก็ตาม 15 นาทีสุดท้ายของครึ่งแรก แมนฯซิตี้ ที่เดินหน้าขึ้นมามากขึ้น เนื่องจาก ลิเวอร์พูล หยุดการเล่นแบบครึ่งชั่วโมงแรก ไม่เพรส แต่เลือกมาเล่นคุมโซน

โอกาสของ ฮาลันด์ ที่ถูกจับตาจากทั้งโลก เขาได้บอลแค่ 8 ครั้งเท่านั้น มาได้จังหวะให้เห็นกันจะ ๆ ในระยะเวลาห่างกันเพียงไม่ถึงนาที เมื่อเกมถึงนาทีที่ 33 จากการใช้บาลานซ์และความใหญ่ไปเล่นงาน โรเบิร์ตสัน ก่อนจะยิง จากนั้นได้ลอยตัวพุ่งเข้าไปชาร์จ แต่ผิดจังหวะชัดเจน ซึ่งลูกแบบนี้ปกติจะเป็นลูกหากินของเขาก็คือ พุ่งเข้าใส่ทั้งตัว

อาจไม่ใช่วันของเขา เมื่อยิงจะ ๆ ตอนทดเวลาเจ็บครึ่งหลังโล่ง ๆ ยังชนคานซะงั้น!!!!

แต่โอกาสของ มาห์เรซ ที่มักจะเล่นได้ค่อนข้างดีเวลาเจอกับ ลิเวอร์พูล แต่เขาเหมือนกับยังจับจังหวะอยู่ จนทำอะไรไม่ถนัด เช่นเดียวกับเริ่มต้นครึ่งหลังมาแค่นาทีเดียว ก็มีโอกาสได้ยิงหน้าประตูที่ชงมาดีแล้ว แต่กลับยิงแป้กไม่เต็มไปเอง

วิธีของ ซิตี้ ที่เราได้เห็นจากการเจอกันในบอลลีกที่เอติฮัด สเตเดีเยม นั่นคือ การถอนตัวเองลงมาอยู่ต่ำหน้าเซ็นเตอร์แบ๊กของ แบร์นาโด้ ที่วิ่งมาคล้องหลัง โรดรี้ ซึ่งหนนี้ถือว่าคล้องลึกกว่าที่เคย อาจเป็นอีกแผนของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในการดึงตัว คัลวิ่น ฟิลลิปส์ มาเสริม

ธรรมชาติแบบนี้คือการยืน”กลางคู่” แม้ว่า โรดี้ จะไม่เคยเล่นระบบนี้แล้วดีเลย แต่การยืนทดลงมาสูงนิดต่ำหน่อย จะไม่ทำให้ โรดรี้ เสียธรมชาติตัวเอง และมันจะเป็นตำแหน่งที่หลายคนเล่นได้ ที่สำคัญมันจะพอดีกับคนมาใหม่ของ ฟิลลิปส์

ทั้งสองทีมเลือกขยับพร้อมกันนาทีที่ 58 ซิตี้ ปีกทั้ง อัลวาเรซ กับ โฟเด้น ที่ไม่ได้ไปอเมริกา แล้วเอา มาห์เรซ กับ กรีลิช ออก เช่นเดียวกับ ลิเวอร์พูล เลือก ดาร์วิน นูนเญซ มาแทน ฟีร์มิโน่

ฟีร์มิโน่, ซาลาห์ และดิอาซ ไม่เคยได้เล่นร่วมกันเลยในการสตาร์ท ยกเว้นเกมอุ่นเครื่องกับ ไลป์ซิก การประสานงานกันตรง ๆ แทบไม่มี เพราะการแนบในของ ดิอาซ ทำแค่ในช่วงแรกที่โขยกมาฝั่ง ซาลาห์ บ้าง แต่จากนั้นต้องไปเน้นโคเวอร์เกมรับกับ โรเบิร์ตสัน

งานของ นูนเญซ ดูต่อเนื่อง แต่สกอร์กลายเป็น 1-1

ลงมา 12 นาที กล้องที่โฟกัส ฮาลันด์ ต้องเปลี่ยนมาเป็น อัลวาเรซ ที่ลงมาปักทางขวา ชาร์จจังหวะบอลตุงตาข่าย

จังหวะมันมาจาก โฟเด้น ยิงไปติดเซฟ เอเดรียน แล้วบอลปลิ้นออกมา โฟเด้น ไปแคะมาจากซองของ อาเดรียน แล้ว อัลบาเรซ ซัดเข้าไป

10 นาทีสุดท้าย ลูกโหม่งของ ดาร์วิน ไปโดนมือ รูเบน ดิอาส จากนั้นต้องลากกันไปดูวีเออาร์ ก่อนที่ เคร็ก พาวสัน ที่ตอนแรกจะมาตัดสินแดงเดือดที่ไทย อยู่ ๆ แกก็ไม่มา ดูเสร็จปุ๊ปให้จุดโทษ

ซึ่งทีแรกจากภาพเร็วก็มันชัดนะ!!!!

ซาลาห์ สังหารเข้าไปมุมดิก ไม่มีสิทธิ์รับ ซึ่งลูกนี้สำคัญมาก เพราะโมเมนตัมเกมมันเทมาพักใหญ่ให้กับ แมนฯซิตี้

ก่อนประตูตอกฝาโลง จะมาจาก ดาร์วิน นูนเญซ ที่สะใจแบบสุด ๆ กับการพุ่งโหม่งจากการชงด้วยศรีษะจาก โรเบิร์ตสัน

แกยอมโดนใบเหลือง ถอดเสื้อด้วยความสะใจ ระเบิดอารมณ์แรงร้อนสไตล์ลาตินอเมริกา ซึ่งเป็นใครก็ถอด

คล็อปป์ ก็เคยบอก อยากทำอะไรทำ แต่อย่าให้ไปทำร้ายคนอื่นก็พอ

ลิเวอร์พูล ชนะ 3-1 รอคอยมา 16 ปี นี่คือแชมป์รายการนี้ครั้งที่ 16

ระฆังบอลอังกฤษดังแล้ว!!!!!!

 ********************

 # จุดที่น่าจับตาของ ลิเวอร์พูล

- การเล่นของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่แผ่วมาในช่วงเดือน กุมภาฯ-เมษา ก่อนจะเร่งกลับมาในช่วงท้ายซีซั่น ยังเป็นเครื่องหมายคำถามว่า บางทีคนที่ทำงานหนัก แต่พิษสงค่อนข้างน้อยลงไปเรื่อย ๆ กับในยุคที่บอลจะต้องมีพิษในทุกแดน จะไปต่อยังไงกับยุคใหม่นี้

ความเป็นผู้นำ ความทุ่มเท มามีใครเถียง แต่เชื่อว่า เราได้เห็นอะไรที่เหมือน ๆ กัน

ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ไม่ได้เล่นตำแหน่งบ็อกซ์ ทู บ็อกซ์ขวา ในช่วงปรีซีซั่นเลย ได้เล่นในตำแหน่งที่ตัวเขาสร้างชื่อเมื่อต้นซีซั่นที่แล้ว ก่อนจะบาดเจ็บไป

- หลุยส์ ดิอาซ ปีกฮ็อตแอนท์ ที่ยังเล่นแบบ”ไปไม่สุด” เลี้ยงไปแล้วไม่ไปต่อ มักจะรอและล็อกกลับหลัง เชื่อว่าแฟนบอลอยากให้เขาลองไปกับบอลให้มันลึกกว่านี้ เนื่องจากแผงรุกของทีมยืนห่างกว่าเดิม

ตัววิ่งเชื่อมอย่าง ซาดิโอ มาเน่ ไม่มีอีกต่อไป ทำให้ 3 กองหน้าอยู่ห่างกันอย่างชัดเจนมาก ๆ ปัญหาคือเมื่อเลี้ยงกินตัวไปแล้ว มันไปต่อยาก เพราะตัวใกล้ไม่มี

- ดาร์วิน นูนเญซ นักบอลค่าตัวแพง 64 ล้านปอนด์(แอด-ออนส์ เอาไว้ก่อนนะไอ่ทิดอย่าคลั่งตัวเลข ฮ่า) มีโอกาสสองครั้งทันทีที่ลงสนาม โดยเฉพาะช็อตที่สอง ที่ได้ยิงแต่ เอแดร์ซอน โมราเอส ออกมาใช้หน้าบล็อกอย่างรวดเร็วทันควัน

แล้วมีส่วนในการทำให้ทีมได้จุดโทษ

เมื่อ ดาร์วิน ลงมา นี่คือเกมที่ทีมเล่น”บอลข้ามไลน์” มากยิ่งขึ้น และอาจจะเป็นวิธีใหม่ที่ ลิเวอร์พูล นำมาใช้ก็ได้ในซีซั่นนี้

อย่างที่เขียนเอาไว้อยู่เสมอว่า ดาร์วิน นูนเญซ แกไม่ได้มาแทน ซาดิโอ มาเน่ เพราะ มาเน่ เป็นคนที่หาใครมาแทนก็ยากอยู่

แต่ ดาร์วิน คือหนึ่งในหมากทางเลือกใหม่ของทีม

ที่ต้องเดินหน้าต่อไปในซีซั่น 2022-23…..

 #บีแหลมสิงห์

# ปล.คล็อปป์ สอยได้หมดแล้วเน้อ

แชมเปี้ยนส์ลีก 2018-19

ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ คัพ 2019

สโมสรโลก 2019

พรีเมียร์ลีก 2019-20

ลีกคัพ 2021-22

เอฟเอ คัพ 2021-22

คอมมิวนิตี้ ชิลด์ 2022

-005