ในที่สุด รัฐบาลของอังกฤษ กระโดดเข้ามาอย่างเป็นทางการในการปิดกั้นสโมสรภายในประเทศไม่ให้เข้าร่วมยูโรเปี้ยนซูเปอร์ลีก หรือ ลีกใดๆ ที่ไม่ใช่ลีกที่กำเนิดจากในประเทศ

รัฐบาล ระบุถึง เอกสารไวท์เปเปอร์เกี่ยวกับการกำกับดูแลฟุตบอล ซึ่งเป็นเอกสารนโยบายที่ร่างกฎหมายที่เสนอผ่านสภา โดยจะมี หน่วยงานกำกับดูแลอิสระแห่งใหม่ของฟุตบอลอังกฤษ จะถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อ “มีอำนาจควบคุม” การแยกตัวออกจากฟุตบอลภายในประเทศ

นั่นคือ Football regulator หรือ ผู้ควบคุมกิจการด้านฟุตบอล

แผนสำหรับหน่วยงานกำกับดูแล ซึ่งได้รับการแนะนำโดยการทบทวนจากแฟนบอลท้องถิ่นของสหราชอาณาจักรเมื่อปีที่แล้ว ได้รับการยืนยันจาก รัฐบาลสหราชอาณาจักร เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

การป้องกันไม่ให้สโมสรในประเทศ เลิกกิจการก็เป็นหนึ่งในเป้าหมาย เช่นเดียวกับการ “ตอบรับและน้อมรับ” ความคิดเห็นแก่แฟนบอลมากขึ้น รวมไปถึง “การตรวจสอบที่เข้มข้นขึ้น” สำหรับเจ้าของใหม่ แหล่งทุน และกรรมการที่เข้ามาถือกิจการ

ความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้อง “มรดกทางวัฒนธรรม” ของฟุตบอลอังกฤษ

วัตถุประสงค์หลักของหน่วยงานกำกับดูแลใหม่ ได้ระบุกฎสำคัญไว้ 5 ข้อด้วยกัน

1.หยุดแนวคิดที่สโมสรอังกฤษไปเข้าร่วม “การแข่งขันแบบปิด” ซึ่งตัดสินว่าเป็นอันตรายต่อเกมในประเทศ ที่เล่นใน “การแข่งขันแบบเปิด”

2.ป้องกันความล้มเหลวทางการเงินซ้ำรอยที่เห็นในหลายสโมสร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ “ยุบทีม” ของ บิวรี่ และ แม็คเคิลฟิลด์ ทาวน์

3.ขอคำแนะนำและกติกาเพื่อทดสอบ “เจ้าของทีม” และ “กรรมการที่ถือหุ้น” ที่เข้มงวดยิ่งขึ้นเพื่อปกป้องสโมสรและแฟนบอล

4.มอบอำนาจให้แฟนบอลหยุดเจ้าของสโมสรที่เปลี่ยนชื่อสโมสร, ตราสัญลักษณ์ และสีประจำสโมสร รวมถึงชุดแข่งแบบดั้งเดิม

5.สร้างความมั่นใจว่า การกระจายเงินทุนจะต้องเป็นไปอย่างยุติธรรม จะเป็นการช่วยกรอง “พีระมิดฟุตบอลอังกฤษ”

“เกมฟุตบอลอังกฤษยังคงเป็นหนึ่งในการส่งออกทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสหราชอาณาจักร นั่นคือเหตุผลที่รัฐบาลกำลังดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นและมีเป้าหมายเพื่อให้มั่นใจว่าจะดำเนินต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน” แถลงการณ์ของรัฐบาลยูเค ระบุ

เป็นที่เข้าใจกันว่า พรีเมียร์ลีก ถูกเฝ้าระวังหน่วยงานกำกับดูแล เมื่อมีการประกาศข้อเสนอในเดือนเมษายนปีที่แล้ว โดยหน่วยงานกำกับดูแลจะไม่นำไปสู่ “ผลกระทบที่ไม่ได้ตั้งใจ” ที่อาจส่งผลต่อการอุทธรณ์และการบริหารงานอีกด้วย

เมื่อปี 2021 สโมสรในอังกฤษ 6 สโมสร ได้แก่ อาร์เซน่อล, เชลซี, ลิเวอร์พูล, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เป็นหนึ่งใน 12 จากทั่วทวีปที่ประกาศแผนการก่อตั้งซูเปอร์ลีกยุโรปในเดือนเมษายนปีนั้น สร้างความโกลาหลในวงการฟุตบอลอังกฤษและยุโรปไปหลายวัน

แฟนๆ ต่างแสดงท่าทีอันแข็งกร้าว ออกมาประท้วงเนื่องจากความไม่พอใจอย่างรวดเร็วต่อแผนดังกล่าวนอกสนามของสโมสรในอังกฤษ โดยมีการประท้วงที่รุนแรง
ในทำนองเดียวกันทั่วยุโรป ทำให้สโมสรในพรีเมียร์ลีกต้องยอมถอยและขอโทษ

แม้จะมีการกลับตัวกลับใจ แต่การโต้เถียงเกี่ยวกับอนาคตของฟุตบอลระดับท็อปของยุโรปยังคงดำเนินต่อไป

“หน่วยงานกำกับดูแลจะมีอำนาจในการป้องกันไม่ให้สโมสรในอังกฤษเข้าร่วมการแข่งขันใหม่ที่ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โดยปรึกษาหารือกับ สมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) และแฟนบอล” รัฐบาลระบุ “เกณฑ์นั้นอาจรวมถึงมาตรการที่จะหยุดสโมสรที่เข้าร่วมการแข่งขันเบรกอเวย์แบบปิด ซึ่งส่งผลเสียต่อเกมในประเทศ เช่น ยูโรเปี้ยนซูเปอร์ลีก เป็นอาทิ”

เรื่องนี้ นายริชี ซูแน็ก นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร กล่าวว่า “แผนใหม่ที่กล้าหาญ” จะทำให้แฟนๆ “กลับเข้าสู่หัวใจของฟุตบอล” อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์อีกครั้ง

“นับตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อ 165 ปีที่แล้ว ฟุตบอลอังกฤษได้รวบรวมผู้คนเข้าด้วยกัน เป็นแหล่งแห่งความภาคภูมิใจของชุมชนและสร้างแรงบันดาลใจให้กับแฟนบอลหลายล้านคนทั่วประเทศ” เขากล่าว “ถึงแม้กีฬาจะประสบความสำเร็จทั้งในและนอกประเทศ เรารู้ว่ามีความท้าทายที่แท้จริงซึ่งคุกคามความมั่นคงของสโมสรทั้งเล็กและใหญ่”

ผู้นำอังกฤษ มั่นใจว่า แผนใหม่จะปกป้องมรดกและประเพณีอันยาวนานของสโมสรอันเป็นที่รักและปกป้องเกมที่สวยงามสำหรับคนรุ่นต่อไปในอนาคต

พรรคแรงงานยินดีกับการย้ายหน่วยงานกำกับดูแลอิสระ อย่างไรก็ตาม ลูซี พาวเวลล์ สส.จากพรรคแรงงาน ด้านวัฒนธรรม, สื่อ และกีฬา กล่าวว่า รัฐบาลอนุรักษ์นิยมควรเผยแพร่สมุดปกขาวเร็วกว่านี้

“แฟนๆ หมดหวังที่จะพูดถึงอนาคตของสโมสรและเกมของพวกเขา เราไม่รอช้าอีกต่อไปแล้ว” เธอกล่าว“รัฐบาลควรเร่งออกกฎหมายอย่างเร่งด่วนหรือรับผิดชอบต่อสโมสรใดๆ ที่ตกอยู่ภายใต้การเสื่อมถอย หรือถูกซื้อโดยเจ้าของใหม่ที่ไม่เหมาะสม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาสูญเสียการนำหน่วยงานกำกับดูแลไปอย่างเปล่าประโยชน์”

ส่วน เควิน ไมล์ส หัวหน้าผู้บริหารของสมาคมผู้สนับสนุนฟุตบอลกล่าวว่ากลุ่ม “ยินดีต้อนรับอย่างอบอุ่น” การแนะนำของหน่วยงานกำกับดูแลที่จะทำให้ฟุตบอลยั่งยืน

สำหรับเรื่องนี้ถูกจับตามองว่าเป็นการ “เคลื่อนไหว” ที่จะ “เปลี่ยนแปลง”วงการฟุตบอลแบบรุนแรงมากที่สุดนับตั้งแต่มีการก่อตั้ง “เชฟฟิลด์ เอฟซี” สโมสรแห่งแรกของโลก เมื่อปี 1857 และรุนแรงกว่าการจัดตั้งพรีเมียร์ลีก เนื่องจาก “ซูเปอร์ลีก” จะนำทีมชั้นนำออกไปจากประเทศ ผิดกับ “พรีเมียร์ลีก”ที่สร้างขึ้นมาใหม่ และแยกตัวจากลีกก็จริง แต่ยังอยู่ในระบบลีกเหมืนเดิม

ในตอนแรกรัฐบาลสัญญาว่าจะมีการตรวจสอบเรื่องนี้ หลังจากจบสิ้นการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2019 หลังจากที่ บิวรี่ โดนปัญหาเรื่องการเงินจนถูกขับออกจากลีกวัน (ดิวิชั่น 3) แต่เกิดการระบาดของโควิด-19 ทำให้ต้องยุติการตรวจสอบไปก่อนเป็นการชั่วคราว กระทั่งปีที่แล้ว ได้นำเรื่องราวนี้กลับมาพิจารณากันอีกครั้ง ในยุคของ เทรซี่ย์ เคราช์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงกีฬา เป็นประธานหลังจากเกิดวิกฤตในวงการกีฬาหลายครั้ง

สำคัญกว่านั้นก็คือ กฎนี้ไม่ได้หมายถึงการจัดการแค่ “การออกนอกลีก”เท่านั้น แต่คนอื่นที่จะ “เข้าร่วมลีก”ในคราบของนายทุน ก็อยู่ใน “ไวท์ เปเปอร์” อีกด้วย

การใหญ่ครั้งนี้ รัฐบาลผู้ดีดูจะจริงจังอย่างมาก

หวังว่าจะไม่เป็นเพียงแค่ “เสือกระดาษ”

บี แหลมสิงห์