คดีใหญ่สุดของวงการลูกหนังอังกฤษเกิดขึ้น เมื่อ “ทอฟฟี่เมน”เอฟเวอร์ตัน ทีมดังแห่งพรีเมียร์ลีก ถูกตัด 10 คะแนนฐานผิดกฎการเงิน
เป็นทีมที่ 6 ในประวัติศาสตร์ ลีกสูงสุดของอังกฤษที่โดนหักคะแนน
ซึ่งเป็นการตัดคะแนนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของการแข่งขัน
กฎทางการเงินของพรีเมียร์ลีกที่มีชื่อว่า Profitability and Sustainability (P&S) ที่ว่าด้วยเรื่องของการบริหารจัดการสถานะทางการเงินของสโมสรให้มั่นคง หรือที่เรียกกันว่า การทำกำไรและความยั่งยืน
คณะกรรมการอิสระพบว่า เอฟเวอร์ตัน บัญชีพังมาก โดยเฉพาะในปี 2021-22 มีมูลค่าติดลบไปถึง 124.5 ล้านปอนด์
สโมสรกล่าวว่าพวกเขา “ทั้งตกใจและผิดหวัง” และจะยื่นอุทธรณ์
พรีเมียร์ลีกส่งเรื่องของเอฟเวอร์ตัน ไปยังคณะกรรมการอิสระในเดือนมีนาคม แต่ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลเฉพาะของการฝ่าฝืนข้อกล่าวหาของสโมสร
ในเดือนนั้น เอฟเวอร์ตันมีผลขาดทุนทางการเงินเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน หลังจากรายงานการขาดดุล 44.7 ล้านปอนด์ในปี 2021-22
พวกเขายอมรับว่าละเมิดกฎผลกำไรและความยั่งยืน (PSR) ในช่วงสิ้นสุดปี 2021-22 และคณะกรรมการพบว่าผิดกฎพรีเมียร์ลีกจริง ภายหลังการพิจารณาคดีเป็นเวลาทั้งสิ้น 5 วัน เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
“สโมสรไม่รับรู้ถึงการค้นพบกับคำว่า เราล้มเหลวในการดำเนินการด้วยความสุจริตใจสูงสุด และไม่เข้าใจว่านี่เป็นข้อกล่าวหาของพรีเมียร์ลีกในระหว่างการดำเนินคดี ทั้งความรุนแรงและความเข้มงวดของการลงโทษที่คณะกรรมาธิการกำหนดนั้น หาได้มีความยุติธรรมไม่ หรือสะท้อนหลักฐานที่ส่งมาอย่างสมเหตุสมผล”
ซึ่งการตัดคะแนนครั้งนี้ทำให้เอฟเวอร์ตัน เหลือ 4 คะแนนและหล่นมาอยู่อันดับ 2 จากท้ายตารางจากทั้งหมด 20 ทีม
สาเหตุที่ถูกตัดแต้ม นั่นคือ การบริหารจัดการของ ฟาฮัด โมชิรี่ ขาดทุนยับ 372 ล้านปอนด์ ในช่วง 3 ปี
ซึ่งการขาดทุนแบบนี้ เกินกว่าแนวทางที่พรีเมียร์ลีกกำหนด
โดยอนุญาตให้ขาดทุนสูงสุด 105 ล้านปอนด์ / 3 ฤดูกาล
เพื่ออธิบายว่า “ทำไม” การหักคะแนนของเอฟเวอร์ตันจึงสูงมาก โดยตอนแรกมีแนวคิดหักถึง 12 คะแนนนั้น คณะกรรมการกล่าวด้วยเหตุผลที่เป็นลายลักษณ์อักษร ว่า สาเหตุของปัญหาของสโมสรนั้นเกิดจากการใช้จ่ายเกินตัว
ประเด็นนี้แบ่งออกเป็น การซื้อผู้เล่นใหม่เข้ามา และไม่สามารถขายผู้เล่นเก่าได้ และอันดับในลีกต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ตัวอย่างคือ ปี 2021-22 การจบอันดับ 16 หมายว่าพวกเขาสูญเสียรายได้ไปถึง 21 ล้านปอนด์
ในที่สุดคณะกรรมาธิการพบว่าความล้มเหลวของเอฟเวอร์ตันในการปฏิบัติตาม “เกณฑ์ที่เอื้อเฟื้อ” ของพรีเมียร์ลีกนั้น
มันขึ้นอยู่กับ “การจัดการที่ผิดพลาด” ของพวกเขาเอง
ทั้งนี้ เอฟเวอร์ตัน จะถูกตัดเหลือเพียงแค่ 4 คะแนนเท่านั้น ทำให้พวกเขาตกลงไปอยู่อันดับที่ 19 ของตารางมีคะแนนเท่ากับทีมบ๊วยนั่นก็คือ เบิร์นลี่ย์
ที่ผ่านมา สโมสรมั่นใจว่า เนื่องจากการสูญเสียบางส่วนเกี่ยวข้องกับโควิดสโมสรจะรอดพ้นจากการดำเนินการของ PL สำหรับการละเมิดกฎทางการเงิน
แต่มันมาจากการบริหารที่มีค่าจ้างเพิ่มขึ้น 17 ล้านปอนด์ รวมเป็น 182 ล้านปอนด์
กลุ่มแฟนบอลเอฟเวอร์ตัน ที่อังกฤษ ระบุว่า ทีมบริหาร เหมือนกับ ไม่มีแผนที่แท้จริง
เจ้าของก้าวเข้ามาโดยไม่รู้เรื่องอะไร และเซ็นสัญญานักบอลที่มีราคาแพงและไม่ใช่การเคลื่อนไหวทางธุรกิจที่ชาญฉลาด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่อนุญาตให้ ผู้อำนวยการฟุตบอล มีบทบาทสำคัญในโครงสร้างของสโมสร จนนักวิจารณ์ที่อังกฤษบางคนมองว่า ฟาฮัด โมชิรี่ กำลังเป็นผู้ทำลายเอฟเวอร์ตัน
ด้วยตัวเขาเองหรือไม่!?!?!?
สิ่งที่เป็นแรงบวกก็คือ หางเลขจากสงคราม ไม่เพียงแต่ เชลซี ที่เกิดผลกระทบเท่านั้นจากพิษสงครามรัสเซียบุกยูเครน
แต่ “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” ก็หนักไม่แพ้กัน
เอฟเวอร์ตัน ยืนยันว่า ได้ระงับข้อตกลงกับการเป็นสปอนเซอร์เชิงพาณิชย์ทั้งหมดกับบริษัทรัสเซียอย่าง USM, Megafon และ Yota โดยมีผลทันที
น่าสนใจก็คือ ประมาณการว่า ทรัพย์กระสุนจากรัสเซียที่ส่งมาจะมีมูลค่าประมาณ 40 ล้านปอนด์จากรายได้ประจำปี ทั้งหมด 60 ล้านปอนด์ ของพวกเขา
หมายว่า เมื่อเงินจากรัสเซียไม่อยู่แล้ว เท่ากับเงินหายไปทันทีมากกว่า 66.66 เปอร์เซ็นต์!!!
นั่นมาจาก อลิสเชอร์ อุสมานอฟ ชาวรัสเซีย ที่มีความสนิทสนมกับวลาดีมีร์ ปูติน
อุสมานอฟ เป็นเจ้าของบริษัท ยูเอสเอ็ม โฮลดิ้ง ที่มี ฟาร์ฮัด โมชิรี่ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ เอฟเวอร์ตัน เป็นประธาน ซึ่งเขาคือกระเป๋าของ โมชิรี่
เป็นที่ทราบกันว่า อุสมานอฟ พร้อมที่จะยื่นข้อเสนอ 30 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,170 ล้านบาท) เพื่อเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ชื่อสนามแห่งใหม่ของทีมเอฟเวอร์ตัน ที่แบรมลีย์มัวร์ ด็อค ที่มีมูลค่าการก่อสร้างกว่า 200 ล้านปอนด์ (ประมาณ 11,700 ล้านบาท)
รายละเอียดของสัญญาก่อนหน้านี้ คาดว่า อลิสเชอร์10 ปี และจะใช้ชื่อสนามแห่งใหม่ว่า “USM” แทนที่ กูดิสันพาร์ค เดิม
“USM” ยังถือลิขสิทธิ์สนามซ้อมฟินซ์ ฟาร์ม ด้วยสัญญามูลค่า 12 ล้านปอนด์ (ประมาณ 468 ล้านบาท) ตั้งแต่ปี 2018
เหนื่อยแทน!!!!!
ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก มีเพียง 2 สโมสรเท่านั้นที่ได้รับการหักคะแนน โดย มิดเดิลสโบรห์ถูกหักสามแต้มจากการไม่ลงเตะเพราะนักบอลป่วยในการพบกับแบล็คเบิร์นในช่วงฤดูกาล 1996-97 จากนั้นในปี 2010 พอร์ทสมัธ ถูกหัก 9 แต้มหลังจากเข้าสู่การบริหารควบคุมกิจการทีม
ทั้งสองสโมสรไม่สามารถหลีกเลี่ยงการตกชั้นได้ หลังจากการถูกตัดคะแนน
การหักคะแนนดังกล่าวนี้น่าสนใจมาก ๆ ว่า เมื่อผ่านไปแล้ว12 นัด เอฟเวอร์ตัน มีอยู่ 4 แต้ม โดยในยุคพรีเมียร์ลีกนั้น เมื่อผ่านเกมถึงระดับ 12 นัดแล้ว และมีแค่ 4 แต้ม มีแค่ เอฟเวอร์ตัน ทีมเดียวที่เคยรอดตาย ก็คือปี 1994-95
วุ่นวายอย่างที่สุดทั้งภายนอก และเรื่องการบริหารที่เป็นเรื่องภายใน
ทีนี้พอการตัดสินออกมา สื่ออังกฤษ ระเบิดข่าวในทางเดียวกัน ว่า มันก็ถึงเวลาอันสมควรแล้วหรือยัง หลังจาก เชลซีกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เคยถูกตั้งข้อหาละเมิดกฎพรีเมียร์ลีกจะถูกลงโทษหรือไม่
มีแรงกดดันเพิ่มขึ้นเรื่อย ในการดำเนินคดีดังกล่าว เพราะเหมือนกับว่า เล่นงานแต่ทีมที่ “เงินน้อย” หรืออย่างไร!”!”!”!
เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แมนฯซิตี้ ถูกตั้งข้อหาว่า ละเมิดกฎการเงิน ไฟแนนเชี่ยล แฟร์เพลย์ มากกว่า 100 ครั้งในช่วง 9 ฤดูกาล ระหว่างเดือนกันยายนปี 2009 ถึงช่วงจบฤดูกาล 2017-18 หลังจากทางองค์กรได้ทำการสืบสวนจากทางสปอนเซอร์ และสัญญาต่างๆ เป็นเวลา 4 ปี
เดลี่ เมล ระบุถึงข้อกล่าวหาส่วนใหญ่ของแมนฯซิตี้ ว่า เป็นการตรวจสอบการจ่ายเงินแบบผิดกฎและปลอมแปลงเอกสาร แต่ ซิตี้ พร้อมสู้ทุกข้อกล่าวหา และมั่นใจว่า จะได้รับชัยชนะเหมือนกับเมื่อครั้งที่ชนะคดีของสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป หรือ ยูฟ่า มาแล้ว
อันนั้นต้องดูกันต่อ แต่ที่ชัดเจนคือ เอฟเวอร์ตัน ที่โดนแล้ว แลลองส่องกระจกทั้งหกด้านดู งานนี้มันหนักมากและท้าทายยิ่ง
การหักคะแนนเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอนอย่างมาก
ในเดือนกันยายน โมชิรี ตกลงที่จะขายหุ้น 94% ให้กับกองทุนเพื่อการลงทุนของอเมริกา 777 Partners การเทคโอเวอร์กำลังผ่านกระบวนการกำกับดูแล และก่อนการพิจารณาคดีนี้ แหล่งข่าวกล่าวว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนหน้า
สนามบอลใหม่ก็ยังคาราคาซัง
ทุกอย่างมาเยือน เอฟเวอร์ตัน ในวัยครบ 70 ปีที่ยั้งยืนยงในลีกสูงสุด
#บี แหลมสิงห์