‘ฟุตบอลอังกฤษ’คือสมบัติของชาติ

‘ฟุตบอลอังกฤษ’คือสมบัติของชาติ

วันอาทิตย์ ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 13.45 น.


ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2025 ที่ผ่านมา 

 


ผมได้นำเสนอเรื่องของ การออกกฎหมายควบคุมฟุตบอลของอังกฤษ เมืองแผ่นดินแม่แห่งโลกลูกหนัง ยังแอบตกใจกับข้อความหลายข้อความที่ออกมาแสดงท่าทีอันแข็งกร้าวว่า “จะทำไปทำไม”

 

หากว่าใครได้ติดตาม เรื่องราวของสโมสร “กุ้งแดง” มอร์แคมบ์ มาตลอดในช่วงหลายเดือนก่อนหน้านี้ จนได้ข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อยในสัปดาห์ที่ผ่านมา

 

ผมเชื่อว่า พวกเขาเหล่านั้น คงแทบจะกลับไปลบคอมเมนท์งี่เง่าเหมือนไม่เอาอะไรคิด......แทบไม่ทัน

 

ย้อนกลับไปในเรื่องของการที่อังกฤษ “ได้ร่างกฎหมาย” การกำกับดูแลฟุตบอลด้วยการจัดตั้ง “หน่วยงานกำกับดูแลอิสระเพื่อดูแลการเงินของสโมสร” ได้ถูกนำมาบังคับใช้การทดสอบความสามารถของ “เจ้าของสโมสร” ในอังกฤษแล้ว 

 

โดยห้ามการซื้อกิจการโดยใช้เงินกู้ และเพิ่มการมีส่วนร่วมของแฟนๆ ในการตัดสินใจสำคัญ เพื่อเป็นการ “คุ้มครองมรดกทางฟุตบอล” สมบัติอันล้ำค่า(ซึ่งเหลือไม่กี่ชิ้น)ของประเทศนี้

 

ร่างกฎหมายธรรมาภิบาลฟุตบอลได้รับพระบรมราชานุญาต และในที่สุดก็กลายเป็นกฎหมาย โดยแฟนบอลก็มีเพื่อนที่มีอำนาจปกป้องพวกเขา ปกป้องสโมสร และปกป้องกีฬาฟุตบอล

 

หน่วยงานกำกับดูแลฟุตบอลอิสระจะมีอำนาจประกอบด้วย 1.กฎระเบียบทางการเงินฉบับใหม่ที่เข้มงวดเพื่อให้มั่นใจว่าสโมสรจะมีอนาคตที่ยั่งยืนในระยะยาว, 2.การทดสอบที่เข้มงวดยิ่งขึ้นเพื่อหยุดยั้งเจ้าของสโมสรที่ไม่ซื่อสัตย์, 3.มาตรฐานใหม่สำหรับการมีส่วนร่วมของแฟนบอลในการตัดสินใจของสโมสร, 4.ห้ามสโมสรเข้าร่วมการแข่งขันแบบปิดและลีกที่แยกตัวออกไป, 5.ดูแลการกระจายทางการเงินอย่างยุติธรรมระหว่างลีก และ 6.การคุ้มครองมรดกสำคัญของสโมสร เช่น สีเสื้อเหย้า ตราสโมสร และการย้ายสนาม

 

นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ กล่าวว่าร่างกฎหมายฉบับนี้เป็น ช่วงเวลาแห่งความภาคภูมิใจและนิยามวงการฟุตบอลอังกฤษ และจะนำไปสู่ "อนาคตที่แข็งแกร่งและเป็นธรรมยิ่งขึ้น" ของวงการฟุตบอล ซึ่ง เควิน ไมล์ส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสมาคมผู้สนับสนุนฟุตบอล (FSA) กล่าวว่า นี่คือช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลในประเทศนี้

 

พระราชบัญญัติการกำกับดูแลฟุตบอล (Football Governance Act) จะให้อำนาจแก่หน่วยงานที่เป็นอิสระจากรัฐบาลและหน่วยงานด้านฟุตบอล โดยพระราชบัญญัตินี้ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งหมายความว่า พระราชบัญญัตินี้ได้ผ่านเป็นกฎหมายและจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อกำกับดูแลกีฬาฟุตบอลชายครอบคลุมลีกระดับอาชีพของอังกฤษ

 

พระราชบัญญัตินี้เป็นข้อเสนอแนะให้มีการทบทวนการแข่งขันโดยแฟนบอล และได้มีการเสนอร่างกฎหมายที่คล้ายคลึงกันในเดือนมีนาคม 2024 โดยรัฐบาลอนุรักษ์นิยมในขณะนั้น แต่ร่างกฎหมายนี้ไม่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤษภาคม 2024 รัฐบาลพรรคแรงงานได้นำร่างกฎหมายนี้กลับมาเสนออีกครั้งในอีก 4 เดือนต่อมา

 

พระราชบัญญัตินี้จะเปิดตัวในปลายปีนี้ รัฐบาลกล่าวว่า จะมีการหารือกับอุตสาหกรรมฟุตบอลก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น

 

“พระราชบัญญัติธรรมาภิบาลฟุตบอลฉบับสำคัญของเรานั้นเป็นไปตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับแฟนบอล พระราชบัญญัตินี้จะปกป้องสโมสรที่พวกเขารัก และบทบาทสำคัญของพวกเขาที่มีต่อเศรษฐกิจของเรา” สตาร์เมอร์ กล่าวเสริม

 

นอกจากจะช่วยปรับปรุงความยั่งยืนทางการเงินทั่วทั้งวงการฟุตบอลแล้ว หน่วยงานกำกับดูแลยังจะยับยั้งสโมสรต่างๆ ไม่ให้เข้าร่วมการแข่งขันแบบแยกตัวออกไป เช่น ข้อเสนอของยูโรเปียนซูเปอร์ลีกในปี 2021 ซึ่งถูกแฟนบอลประณามอย่างหนักจากแฟนบอล

ในการผ่านร่างกฎหมายนี้ มีกลุ่มอนุรักษ์นิยมบางส่วนคัดค้าน คาร์เรน เบรดี รองประธานสโมสรเวสต์แฮม ยูไนเต็ด กล่าวต่อสภาขุนนางว่าร่างกฎหมายฉบับนี้มี “อันตรายแฝงอยู่” โดยให้เหตุผลว่าจะส่งผลกระทบต่อการแข่งขัน พรีเมียร์ลีกยังวิพากษ์วิจารณ์ถึงความจำเป็นในการจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแลอีกด้วย

 

ลิซ่า แนนดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับแฟนฟุตบอล เพราะเรามีสโมสรมากมายเหลือเกิน รวมถึงสโมสรวีแกน แอธเลติก ของเรา ที่ตกอยู่ในความเสี่ยงจากปัญหาความเป็นเจ้าของและฐานะการเงินที่ย่ำแย่

 

"นี่คือช่วงเวลาที่แฟนฟุตบอลสามารถถอนหายใจด้วยความโล่งอกได้ เพราะเรากำลังแก้ไขรากฐานของฟุตบอล และนำแฟนๆ กลับสู่หัวใจสำคัญของเกมที่พวกเขาควรอยู่"

 

พรีเมียร์ลีกยังไม่ได้แสดงความคิดเห็น แต่ที่ผ่านมานั้น พวกเขากังวงลเรื่องของอำนาจที่ไม่เคยมีมาก่อนและไม่เคยได้รับการทดสอบในการแทรกแซงการกระจายรายได้ขององคาพยพของฟุตบอล

 

นอกจากนี้ยังกล่าวอีกว่าหน่วยงานกำกับดูแลอาจส่งผลกระทบทางลบต่อความสามารถในการแข่งขัน การลงทุนของสโมสรในนักเตะระดับโลก และความมุ่งมั่นที่ขับเคลื่อนความน่าดึงดูดใจและการเติบโตของเราในระดับโลกในอนาคต

 

สำหรับเรื่องนี้ยกตัวอย่าง คือ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เจอกับแนวทางปฏิบัติของตระกูลเกลเซอร์ และกลุ่มทุน INEOS เช่น การบริหารหนี้ และการลงทุน ซึ่งอาจทำให้แฟนๆ สามารถท้าทายความเป็นเจ้าของที่เป็นอันตรายต่อสโมสรที่รักของพวกเขาได้ แม้ว่าการกระทำในอดีตจะไม่สามารถแก้ไขได้ย้อนหลังก็ตาม

 

ทั้งนี้ จำเป็นต้องมีหน่วยงานกำกับดูแลฟุตบอลอิสระ เพื่อต่อต้านเจ้าของสโมสรที่ประมาทเลินเล่อและขาดความระมัดระวัง ในการเข้ามาลงทุนและทำให้ทีมตกต่ำจากการบริหารที่ไม่ดี โดยปกตินั้น พรีเมียร์ลีกและ EFL มีเจ้าของที่ดี แต่ก็มีบางแห่งที่ไม่น่าไว้วางใจ โดยตัวอย่างคือ การกระโดดไปร่วมยูโรเปียนซูเปอร์ลีก, เหตุการณ์ล้มละลายที่บิวรี่ รวมถึงเคสต่าง ๆ ของ เรดดิง, เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์, มอร์แคมบ์, แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส เป็นต้น

หนึ่งในทีมที่ถูกหยิบยกมาในวันนั้นก็คือ มอร์แคมบ์ แล้วมันก็สะท้อนออกมาเต็ม ๆ 

 

นับเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการบริหารจัดการ และท้ายที่สุดมหากาพย์ฟุตบอลที่ยาวนาน จนเกือบ "ล้มละลาย" ได้ยุติลงแล้ว

 

มอร์แคมบ์ แห่งนอกลีก หรือ ดิวิชั่น 5 อังกฤษยืนยันว่าเกมเนชันแนลลีก กับ อัลทริงแฮม จะแข่งขันแน่นอนแล้วในวันเสาร์ และตอนนี้พวกเขาสามารถเซ็นสัญญากับนักเตะได้แล้วด้วย หลัจากพวกเขาฉลองครบรอบ 100 ปีของสโมสรด้วยการตกชั้นจากระดับอาชีพ ที่ยืนหยัดมาได้นานถึง 18 ปี ทำให้ปีที่ 101 ของพวกเขาต้องอยู่นอกลีก

 

หนักกว่านั้นก็คือ "เดอะ ชริมป์ส" ถูกสั่งให้เลื่อนการแข่งขัน 3 นัดแรกของฤดูกาล เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามกฎการเงิน ซึ่งอนาคตของสโมสรจากแลงคาเชียร์ดูไม่แน่นอน กระทั่งการเข้าซื้อกิจการอันโดยกลุ่มทุนปัญจาบ วอริเออร์ส ได้เสร็จสิ้นลงในที่สุดเมื่อวันอาทิตย์

 

เดเร็ค อดัมส์ ถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมเมื่อวันจันทร์ 

 

อัชวีร์ ซิงห์ โจฮาล ผู้จัดการทีมชาวซิกข์คนแรกที่คุมทีมในอังกฤษ ถูกแต่งตั้งในวันอังคาร

 

จากนั้นสโมสรก็ยืนยันในวันพุธ ว่า เนชันแนลลีก ได้ยกเลิกการห้ามซื้อขายนักเตะอย่างเป็นทางการแล้ว

 

พวกเขามีเงินมาใช้จ่าย และชำระเงินเดือนให้กับผู้เล่น, พนักงาน รวมทั้งกรมสรรพากรและศุลกากร(HMRC)  เรียบร้อย

 

แล้วเหตุนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่..........

 

การระงับการแข่งขันเนชันแนลลีก และการยุติการดำเนินงานของทีมชุดใหญ่ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา

 

คณะกรรมการเนชันแนลลีก ระบุว่า สมาชิกภาพของมอร์แคมบ์ถูกระงับการแข่งขัน โดยการแข่งขัน 3 นัดแรกในฤดูกาลใหม่จะถูกเลื่อนออกไป

 

คณะกรรมการ ระบุในเวลานั้นว่า จะประชุมอีกครั้งในวันที่ 20 สิงหาคม 2025 เพื่อ "พิจารณาว่ารายการค้างชำระได้รับการชำระแล้วหรือไม่ และเพื่อตัดสินความสามารถของสโมสรในการรักษาสมาชิกภาพในการแข่งขัน"

 

มีรายงานว่าพนักงานของสโมสรไม่ได้รับค่าจ้างเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน

 

เวลานั้น ปัญจาบ วอริเออร์ส ระบุว่า "พร้อม เต็มใจ และสามารถ" ที่จะซื้อสโมสรมอร์แคมบ์ได้ ในแถลงการณ์ร่วมกับผู้ถือหุ้นรายย่อย นั่นคือ "เดอะ ชริมป์ส ทรัสต์" และลิซซี คอลลิงจ์ 

 

เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2025 แถลงการณ์สโมสร ฉบับที่ 1 กล่าวว่า เนชันแนลลีกพร้อมที่จะอนุมัติข้อตกลงนี้ ซึ่งทีมจะกลับมาซื้อขายนักเตะได้ พร้อมกับบริหารจัดการทีมได้เหมือนเดิม

 

รุ่งขึ้น.....วันที่ 30 กรกฎาคม 2025 มีแถลงการณ์สโมสร ฉบับที่ 2 ประกาศที่ว่า ทีมชุดใหญ่ของสโมสรได้ยุติการดำเนินงานฟุตบอลทั้งหมด เนื่องจากขาดความคุ้มครองจากประกันภัย นักเตะบางคนได้ออกจากสโมสรไปแล้ว ขณะที่บางคนกำลังจะย้ายออกไป

 

ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2025 แถลงการณ์สโมสร ฉบับที่ 3 ระบุว่าอะคาเดมีของสโมสรจะปิดตัวลงในวันที่ 1 สิงหาคม 2025 

 

นีล เวนไรท์ ผู้จัดการอะคาเดมี กล่าวว่า ทุกอย่างกำลังต้องยุติ และสโมสรจะปิดตัวลงในวันที่ 4 สิงหาคม เว้นแต่ว่า เจสัน วิตติงแฮม หนึ่งในเจ้าของทีมแห่งบอนด์กรุ๊ป จะลงนามในข้อตกลง "ทันที"

 

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม วิตติงแฮม กล่าวว่า เขายังคงทำงานเพื่อให้การขายสโมสรประสบความสำเร็จ เพื่อความอยู่รอดของสโมสร

 

ในวันเดียวกัน ลิซ่า แนนดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้เข้าร่วมกับกลุ่มที่เรียกร้องให้วิตติงแฮมขายสโมสร โดยกล่าวเสริมว่า หน่วยงานกำกับดูแลฟุตบอลอิสระแห่งใหม่ เพิ่งได้รับพระปรมาภิไธยจาก สมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร จะเข้ามาช่วยเหลือสถานการณ์ของมอร์แคมบ์ ไม่ทันการณ์ 

 

ในวันที่ 6 สิงหาคม เซอร์ เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ได้เรียกร้องให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับสโมสร "ทำในสิ่งที่ถูกต้อง" เพื่อรักษาสมบัติของชาติ นั่นคือ "สโมสรฟุตบอล" ให้คงไว้

 

จากนั้นในวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ปัญจาบ อ้างว่า วิตติงแฮมได้ยกเลิกการประชุมไกล่เกลี่ยที่กำหนดไว้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม โดยผู้ไกล่เกลี่ยได้ถอนตัวโดยอ้างว่าบอนด์กรุ๊ป "ขาดความจริงใจและความมุ่งมั่นอย่างสิ้นเชิง"  

วันที่ 11 สิงหาคม วิตติงแฮม อ้างว่า "กลุ่มปัญจาบวอริเออร์ส...ยังคงออกแถลงการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์จริง" พูดถึงการประชุมไกล่เกลี่ยครั้งใหม่ ให้ไปเจอกันในวันที่ 13 สิงหาคม และกล่าวหาสมาชิกรัฐสภาและคนอื่นๆ ว่า "ออกแถลงการณ์โดยขาดข้อมูล เพียงเพื่อโปรโมตตัวเอง" โดยไม่ได้พยายามติดต่อบอนด์กรุ๊ป พร้อมกับออกแถลงการณ์ซึ่งกลุ่ม "เดอะ ชริมป์ส ทรัสต์" ด่ากราดว่า มันเป็นแถลงการณ์ที่ว่างเปล่าและไร้ความหมายอีกครั้ง"

 

วันที่ 14 สิงหาคม 2568 บอนด์กรุ๊ปและปัญจาบวอริเออร์สได้ประกาศข้อตกลงในหลักการเกี่ยวกับการเข้าซื้อกิจการ ขณะเดียวกัน สโมสรได้ถูกถอดใบอนุญาต และมีการออกคำสั่งยุบสโมสร

 

เงียบไป 3 วัน มาถึงวันที่ 17 สิงหาคม เนชันแนลลีก ประกาศว่าจะยกเลิกคำสั่งทั้งหมด เกี่ยวกับการระงับทีมมอร์แคมบ์ หากว่า ได้รับเอกสารเกี่ยวกับการขายให้กับปัญจาบ วอริเออร์ส เกิดขึ้นจริง

 

เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม เจ้าหน้าที่ได้รับเงินเดือนที่คงค้างมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน พร้อมกับแถลงการณ์ของสโมสรระบุว่า จะชำระหนี้สินทั้งหมดที่เหลืออยู่ รวมถึงเงินเดือนค้างชำระเดือนกรกฎาคม และหนี้ของกรมสรรพากรภายในวันที่ 20 สิงหาคม 

 

เจ้าของทีมคนใหม่ยังได้ปลดเดเร็ก อดัมส์ ผู้จัดการทีม และแต่งตั้ง อัชวีร์ ซิงห์ โจฮาล เข้ามารับตำแหน่งแทนในวันที่ 19 สิงหาคม ท่ามกลางนักบอลของทีมที่เหลือสัญญาเพียง 5 คนเท่านั้น 

 

เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม มอร์แคมบ์ ยืนยันว่าเกมแรกของฤดูกาลในวันที่ 23 สิงหาคมนี้ อย่างแน่นอนหลังจากฝ่าวิกฤติมาได้อย่างจวนเจียน 

 

3 เกมแรกที่พวกเขาไม่ได้ลงเล่นก็คือ ไปเยือน บอสตัน ยูไนเต็ด, เหย้ากับ แบร๊คลี่ย์ ทาวน์ และเยือน สคันธอร์ป 

 

......มวลเหตุของปัญหาทางการเงิน ทั้งที่ทีมเคยขยับไปอยู่ลีก วัน หรือ ดิวิชั่น 3 มาจากการที่ "บอนด์ กรุ๊ป อินเวสต์เมนต์ส" ได้นำสโมสรออกขายในเดือนกันยายน 2022 โดยกรรมการบริหาร เจสัน วิตติงแฮม และ โคลิน โกลด์ริง ไปวุ่นวายอยู่ในศาล

 

ทั้งคู่เกี่ยวข้องกับการบริหารที่ล้มเหลวสิ้นดีของสโมสรรักบี้ยูเนียน วูสเตอร์ วอริเออร์ส และทั้งคู่ถูกปรับและถูกตัดสิทธิ์จากการเป็นกรรมการบริษัทหลังจากการพิจารณาคดีในศาลเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2022 

 

เริ่มมีปัญหาเมื่อค่าจ้างของผู้เล่นได้รับการจ่ายที่ล่าช้า โดยเงินทุนของทีมเวลานั้น เป็นทุนของ  ซาร์บยอต โจฮาล และอีกไม่กี่เดือนต่อมา พวกเขาต้องตกชั้นสู่ลีกทู หายนะจึงตามมา

 

พวกเขาก็แข็งใจสู้ นักบอลย้ายออกไปทีละเป็น 10 คน, ทีมโดนตัดคะแนน แต่ก็ยังฝืนสู้มาได้ 1 ซีซั่น ต่อจะทนพิษบาดแผลไม่ไหวตกชั้นเมื่อปีกลาย 

"เราไม่ได้อยู่ในภาวะเสี่ยง" วิตติ้งแฮม กัดฟันพูดเมื่อต้นซีซั่นที่แล้ว ทั้งที่สภาพทีมเวลานั้น ซื้อนักบอลไม่ได้, โดนปรับเงิน และตัดแต้ม จากการที่เขาไม่มีเงินมาจ่ายพนักงาน รวมถีงจ่ายให้กับ HMRC

 

สุดท้าย วิตติ้งแฮม ยอมรับว่า เขาคิดมาเป็นปี ๆ แล้ว ด้วยทุกอณูในร่างกายของฉัน... ฉันแทบรอไม่ไหวที่จะออกไปจากมอร์แคมบ์... ฉันไม่อยากเป็นเจ้าของสโมสรอีกต่อไปแล้ว

 

ในที่สุด มอร์แคมบ์ น่าจะดีใจกว่าที่พวกเขาไม่เหมือนกับ บิวรี่ เมื่อ 5 ปีก่อนที่ล้มละลาย และโดนไล่ออกจากลีก กลายเป็นทีมฟุตบอลล้มละลาย และต้องถูกอัปเปหิออกจากวงการฟุตบอลอย่างเจ็บปวดที่สุด

 

ปี 2019 “บิวรี่” สโมสรใน ลีกวัน หรือดิวิชั่น 3 ของวงการลูกหนังเมืองผู้ดี โดน สมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือ “เอฟเอ” ขับออกจากระบบอาชีพ ระหว่างฤดูกาล เนื่องจากไม่สามารถปลดภาระหนี้สินจำนวน 2.7ล้านปอนด์ ได้ทันเวลา หลังจากไม่ได้ลงเล่นใน 5 เกมแรก

 

เป็นปัญหาเรื้อรังมา 18 ปี ผลกระทบจากการล่มสลายของระบบการถ่ายทอดสดของ ITV Digital ในตอนนั้น ทำให้สโมสรกำลังจะถูกยึด

แต่แฟนบอลลงขันนำเงินมากู้วิกฤติหนนั้นไว้ได้

 

สุดท้ายพื้นฐานที่ไม่แข็งแรง เงินสำรองไม่พอ ทำให้ทีมต้องเจอกับฝันร้าย

 

....ครั้งนั้นมีข้อเสนอถึง 7 แห่ง เข้ามาเพื่อ “อุ้มทีม” เอาไว้ไม่ให้ถูกปรับล้มละลายแต่ไม่สามารถผ่านเกณฑ์ของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ

ทำให้พวกเขาต้องหลุดวงโคจรไปอย่างเจ็บปวดที่สุด

 

เจ้าของฉายา “The Shakers” ที่ตั้งอยู่ในเกรตเตอร์ แมนเชสเตอร์ ได้รองแชมป์ลีกทู เมื่อปีก่อน แล้วขึ้นชั้นมาอยู่ลีก วัน ได้พยายามเดินหน้าหา กลุ่มทุนมาเทคโอเวอร์สโมสร แต่ท้ายที่สุดไม่สามารถหาได้ทันกำหนดเส้นตายในเวลา 17.00 น. ของวันอังคารที่ 27 สิงหาคม 2019 ทำให้ถูกไล่ออกจากระบบลีก อย่างน่าเศร้า

 

พวกเขาไม่มีเงินจ่ายพนักงาน, ไม่มีเงินจ่ายค่าเหนื่อยนักเตะ รายงานล่าสุดก่อนโดนตัดทิ้งก็คือมีนักเตะเหลืออยู่แค่ 7 คน และทีมงานทำทีมที่มี พอล วิลกินสัน เป็นกุนซือนั้น เหลืออยู่แค่ 3 คน อีก 7 คนออกจากสโมสรไปแล้ว

 

ถือเป็นทีมแรกในรอบ 27 ปีที่ถูกขับออกไปจากลีก โดยทีมล่าสุดคือ เมดสโตนเมื่อปี 1992 ยังผลให้ระบบลีกอาชีพปีนี้เหลือ 91 ทีม

 

นับเป็นการสูญเสียหนึ่งในสโมสรที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศในแบบนี้คือความอัปยศ เพราะสโมสรแห่งนี้ได้ก่อตั้งขึ้นมาถึง 134 ปี เมื่อ ค.ศ.1885 หรือ พ.ศ.2428 เมื่อวันที่ 24 เมษายน โดย ไอเดน อาร์โรวสมิธ ได้เป็นตัวตั้งตัวตีให้มีการประชุมกันที่ไวท์ฮอร์ส โฮเทล เป็นการควบรวมทีมท้องถิ่น

 

นั่นคือ บิวรี่ เวสเลยานส์ กับ บิวรี่ ยูนิตาเรียนส์ฟุตบอล คลับส์ เข้าด้วยกัน

 

สนามพวกเขาคือ กิจจ์ เลน เป็นหนึ่งในสนามฟุตบอลที่เก่าแก่ที่สุดในโลก สร้างปี 1885 เช่นกัน

 

พวกเขาอยู่ในแถบเกรตเตอร์แมนเชสเตอร์ ถือสถิติในวงการฟุตบอลตลอดกาลได้อย่างน่าสนใจ

 

นั่นคือเป็นทีมที่ชนะในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ด้วยสกอร์ขาดลอยที่สุด 6-0 เมื่อปี 1903 ก่อนจะถูกทาบสถิติโดยแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อซีซั่นที่ผ่านมา

 

เป็นทีมแรกในวงการฟุตบอลยุโรปที่ซื้อนักเตะอินเดียมาร่วมทัพ นั่นคือ ไบชุง ภูเตีย เมื่อปี 1999 และใช้ชีวิตกับทีมนานถึง 5 ปี

 

ยอดเยี่ยมและน่าประหลาดใจที่สุดก็คือ พวกเขาเป็นทีมแรก และทีมเดียวในวงการฟุตบอลอังกฤษ ที่ยิงประตูได้ 1,000 ประตูครบทุกดิวิชั่น โดยสถิตินี้ถูกบันทึกเมื่อปี 2005

 

 

อีกหนึ่งตัวอย่างก็คือ ในปีเดียวกันนั้น “เดอะ ทร็อตเตอร์ส” โบลตันวันเดอร์เรอร์ส ทีมเก่าแก่แห่งวงการฟุตบอลอังกฤษ หายใจโล่งเต็มปอด หลังจาก Football Ventures (Whites) Limited ได้เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรเป็นที่เรียบร้อย ทำให้พวกเขาไม่ถูกขับพ้นจากลีกฟุตบอลอังกฤษแบบจวนเจียน

 

สถานการณ์เวลานั้น โบลตัน ดูหนักกว่า บิวรี่ ด้วยซ้ำไป เพราะออกสตาร์ทด้วยการถูกสั่งให้ติดลบ 12 คะแนน เนื่องจากปัญหาการชำระหนี้ และลงเตะไป 4 นัด เสมอ 1 แพ้ 3 ทำให้ตอนนี้ติดลบอยู่ 11 คะแนน และมีนักเตะจากชุดใหญ่เหลืออยู่เพียงแค่ 5 คนเท่านั้น

 

นับตั้งแต่ตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก เมื่อปี 2012 โบลตัน ตกต่ำลงเรื่อยๆทุกคนมุ่งเป้าไปที่คนคนหนึ่ง ที่นับตั้งแต่เข้ามาทำงานทีมตกต่ำลงเรื่อยๆ นั่นคือ เคน แอนเดอร์สัน ในปี 2005 เคน แอนเดอร์สัน ถูกสั่งห้ามไม่ให้ทำธุรกิจ เนื่องจากบริษัทของเขาถึง 8 แห่งกำลังล้มละลาย แต่เขาก็ได้มาบริหารงานที่ โบลตัน และมีส่วนสำคัญที่ทำให้ “เดอะ ทร็อตเตอร์ส” ต้องตกชั้นในปี 2012

 

แอนเดอร์สัน ไม่ได้นำเงินเข้าสู่สโมสร ไม่เหมือนกับที่ เอ็ดดี้ เดวี่ส์ อดีตเจ้าของทีมเคยทำมาตลอด ด้วยการดึงนักฟุตบอลที่มีคุณภาพ และศักยภาพเข้ามาเสริมทีม โดยเฉพาะดึงนักเตะเก๋าๆ ระดับโลกมาร่วมทีมมากมาย โดยที่ เดวี่ส์ เคยให้ทีมยืมเงินถึง 170 ล้านปอนด์

 

แม้ว่า แอนเดอร์สัน จะไม่มีเงินเดือนอย่างเป็นทางการ แต่บันทึกทางการเงินแสดงให้เห็นชุดเจนว่า เขารับค่าที่ปรึกษาของทีมมากถึง 500,000 ปอนด์ หรือกว่า 20 ล้านบาท แม้ว่าแอนเดอร์สันจะไม่ได้รับเงินเดือนอย่างเป็นทางการจากสโมสร 

 

แต่บันทึกทางการเงินแสดงให้เห็นว่าเขาได้รับเงินกว่า 500,000 ปอนด์ ก่อนที่ทีมจะตกต่ำแบบสุดๆ จนแทบประสบปัญหาติดหนี้ และตามด้วยการตกชั้นสู่ลีก วันหรือระดับดิวิชั่น 3

 

แอนเดอร์สัน ทำทีมจนมุม เมื่อไม่มีเงินจ่ายพนักงาน และกำลังให้คนกว่า 150 คนต้องตกงาน เนื่องจากทีมติดหนี้ และมีเส้นตาย 14 วัน หากไม่มีเงินมาใช้หนี้จะต้องถูกขับออกจากฟุตบอลลีก เหมือนกับกรณีของ บิวรี่ เอฟซี 

 

เดวิด เคราส์บี้ สมาชิกรัฐสภาของโบลตัน นอร์ท อีสต์ เปิดเผยว่า เป็นเรื่องที่น่าเศร้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด นี่คือจุดที่น่าสนใจว่า อะไรเกิดขึ้นกับวงการฟุตบอลอังกฤษ กันแน่

 

“มีบางอย่างผิดปกติในฟุตบอลอังกฤษ” เดวิด เคราส์บี้ กล่าว “สโมสรเหล่านี้มีประวัติศาสตร์มากมาย และมีความสัมพันธ์อันดีในท้องถิ่น แต่กลายเป็นว่า หลายทีมกำลังดิ้นรนอย่างหนักต่อการสุ่มเสี่ยงต่อการล้มละลาย แต่ในเวลาเดียวกันกับที่พรีเมียร์ลีกกำลังเฟื่องฟู ตอนนี้เราต้องร่วมกันทำให้ถูกต้องโดยเฉพาะทำกับทีมท้องถิ่น ที่สำคัญไม่ใช่ให้ใครบางคนที่หยิบมันขึ้นมาเพื่อทำกำไร และหาผลประโยชน์เพียงอย่างเดียว แน่อนที่สุดเราต้องมีความตั้งใจจริงๆ ที่จะปกป้องสถาบันฟุตบอลนี้ไม่อนุญาตให้ล้มเหลวและหายไปให้จงได้”

 

เมื่อถึงเวลานี้ มอร์แคมบ์ โชคดีที่เหมือน โบลตัน และไม่โชคร้ายเหมือน บิวรี่

 

แน่นอนว่า “เดอะ กุ้ง” น่าจะดีใจกว่า วิตติ้งแฮม ด้วยซ้ำที่แยกกันออกมาได้

 

มาติดตามดูกันว่า "กุ้งนักสู้" จะบู๊ได้ขนาดไหน 

 

กับวิกฤติและพายุร้ายที่เพิ่งผ่านไปแบบแทบเอาตัวไม่รอด......

 

#บีแหลมสิงห์™️✍

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top