การดวลแข้งบนโลกลูกหนังที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันผ่านมาเป็นร้อยปีมีสโมสรที่คว้าแชมป์ 3 รายการที่หมายถึงบอลลีก, บอลถ้วยใหญ่สุดภายในประเทศ และฟุตบอลถ้วยใหญ่ของยุโรป หรือ แชมเปี้ยนส์ลีกได้ยากมากๆ
การจะได้แชมป์ลักษณะแบบนี้คือ เทรเบิ้ลแชมป์ หรือ ทริปเปิ้ลแชมป์ ต้องมีทุกอย่างพร้อม ซึ่งเราเกือบได้เห็นทีมเป็น 4 แชมป์ในปีเดียวเมื่อซีซั่นก่อน นั่นคือ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ที่ทำผลงานได้อย่างน่าตื่นตะลึงก่อนจะจบลงด้วย “คัพดับเบิ้ล”
มาในปีนี้เป็นอีกครั้งที่ “โอกาส” การได้รับการบันทึกครั้งสำคัญนี้จะเกิดขึ้นกับโลกลูกหนัง ซึ่งที่ผ่านมานั้นยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
บอลลีกในประเทศ, บอลถ้วยใหญ่ในประเทศ และบอลถ้วยใหญ่สุดของยุโรป
มันง่ายกันที่ไหนล่ะ!?!?!?!?!?!
l กลาสโกว์ เซลติก(สกอตแลนด์) ฤดูกาล 1966-67
“ม้าลายเขียว-ขาว” กลาสโกว์ เซลติก ในยุค 60 ภายใต้การคุมทีมของ จ๊อค สตีน บรมกุนซือคนแรกบนเกาะอังกฤษที่สามารถพาทีมคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ในฤดูกาล 1966-67 ซึ่งเป็นซีซั่นที่เซลติกคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ เป็นทีมแรกในยุโรปด้วย
เซลติก บดชนะ อินเตอร์ มิลาน 2-1 ครองเจ้ายุโรปที่ลิสบอน ทำให้พวกเขาตบหน้าทีมจากอังกฤษ เมื่อเป็นสโมสรแรกจากสหราชอาณาจักรที่ทำได้สำเร็จ ในการครองถ้วยใหญ่ยุโรป รวมถึงคำว่า “เทรเบิ้ลแชมป์” ที่จะบันทึกไว้ตลอดกาล
โจ แม็คไบรด์ เป็นดาราซัลโวให้กับทีมในทุกรายการปีนั้น35 ประตู โดยมี สตีฟ ชาลเมอร์ส ซัดในลีกได้สูงสุด 21 ลูก ซึ่งทีมชุดนั้นเป็นนักบอลสก็อตติชตัวหลักแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ โดยมีบิลลี่ แม็คนีลล์ เป็นกัปตันทีม
นอกจากนี้ เซลติก ในยุคของ จ๊อค สตีน ยังคว้าแชมป์ลีกของสกอตแลนด์ได้ 9 สมัยติดต่อกันในปี 1966 ถึง 1974
l อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม (เนเธอร์แลนด์) ฤดูกาล 1971-72
อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม กลายเป็นทีมที่ 2 จากเนเธอร์แลนด์ที่สามารถคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ มาครองได้สำเร็จต่อจาก เฟเยนอร์ดซึ่งในฤดูกาล 1971-72 แต่พวกเขาสามารถคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ ภายใต้การคุมทีมของ สเตฟาน โคแวคส์
ซึ่งทีมชุดนั้นเต็มไปด้วยสตาร์ดังอย่าง “นักเตะเทวดา” โยฮัน ครัฟฟ์, โยฮัน นีสเก้น, ดิค ฟาน ไดจ์ค, เพต์ ไกเซอร์, อาร์โนลด์มูห์เรน และจอห์นนี่ เรป ซึ่ง ครัฟฟ์ สังหารคนเดียวทั้งซีซั่นถึง 33 ประตู
ในลีกพวกเขาเร่งเครื่องชนะถึง 19 นัดรวด โดย 26 เกมสุดท้าของซีซั่นชนะได้ถึง 25 นัด ทั้งซีซั่นแพ้หนเดียวให้กับ โกอะเฮด อีเกิ้ลส์
รอบชิงแชมป์ยุโรป ก็กำชัยเหนือ อินเตอร์ มิลาน 2-0 ที่ร็อตเตอร์ดัม เป็นค่ำคืนสุดมหัศจรรย์อีกครั้งของวงการลูกหนัง
นี่คือรากฐานของทีมชุดอมตะอย่าง “โททั่ลฟุตบอล” ที่โด่งดังในบอลโลก 1974 อีกด้วย
l พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น (เนเธอร์แลนด์) ฤดูกาล 1987-88
ทีมที่ 3 ที่สามารถคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้คือ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น จากเนเธอร์แลนด์
ทีมจากถิ่นหลอดไฟ ภายใต้การนำทัพของ กุส ฮิดดิ้งค์ ได้แชมป์ลีกด้วยการทิ้ง อาแจ๊กซ์ 9 แต้ม ก่อนจะรีดพลังเกิน 90 นาทีในการกระชากแชมป์บอลถ้วยมาครอง
นั่นคือบอลถ้วยในประเทศ ไล่ตาม โรด้า เจซี 2 ครั้ง 2 ครา ก่อนต้องเล่นถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ ได้ประตูชัยจาก โซเรน เลอร์บี้ กองกลางเลอค่าจากเดนมาร์ก คว้าแชมป์สกอร์ 3-2
ส่วนในยูโรเปี้ยน คัพ คว้าแชมป์ด้วยการเอาชนะ เบนฟิก้า ในการดวลจุดโทษ 6-5 ที่สตุ๊ตการ์ท หลังจากเสมอกันในเวลา 0-0
ทีมนั้นมี วิม คีฟท์ เป็นดาราซัลโว โดยมีดาวดังในเวลาต่อมาเฉิดฉายเต็มทีมทั้ง “พี่บึ้ก” โรนัลด์ คูมัน ปราการหลัง, ฮานส์ ฟาน บรอยเคเล่น นายประตู, เครัล วาเนนเบิร์ก และแบร์รี่ ฟาน ไอร์เล่ ซึ่งอีกหนึ่งเดือนต่อมา ทั้งหมดเป็นกำลังหลักให้ เนเธอร์แลนด์ ครองแชมป์ยูโร 88
นอกจากนี้ แกนหลักของทีมเติบโตต่อเนื่องจากบอลโลก 1986 นั่นคือกัปตันทีม เอริค เกเร็ตส์ จากเบลเยียม รวมถึง 3 ประสานเดนมาร์ก แยน ไฮน์ตเซ่, อิวาน เนลเซ่น และโซเรน เลอร์บี้
l แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (อังกฤษ) ฤดูกาล 1998-99
“ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายเป็นทีมแรกจากเมืองผู้ดีที่สามารถคว้าทริปเปี้ลแชมป์ได้สำเร็จ เหตุการณ์ผ่านมานานกว่า 24 ปี แต่เหตุการณ์ในเกมนัดชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ยังคงเป็นสิ่งที่หลายคนกล่าวถึง และอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้รับการประดับยศอัศวิน
ปาฏิหาริย์มาได้ 2 ประตูจาก เท็ดดี้ เชอร์ริ่งแฮม และโอเล่กุนนาร์ โซลชาร์ พลิกแซง “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค 2-1 เป็นค่ำคืนมหัศจรรย์ที่คัมป์นู
พวกเขาได้แชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยการตัดสินในวันสุดท้าย หลังจากวิ่งตีคู่มากับ อาร์เซน่อล จนกระทั่งวันสุดท้ายของการแข่งขัน แมนยูฯ ได้เปรียบอยู่ 1 คะแนน ถ้าชนะไม่ต้องรอผลคู่อื่น ให้ตัวเองเป็นผู้กำหนดชะตา
พวกเขาชนะ สเปอร์ส 2-1 ครองแชมป์ด้วยการมี 79 แต้มเหนือ อาร์เซน่อล แต้มเดียว และถือว่าสมราคาเพราะไม่แพ้ใครในบอลลีกตั้งแต่วันบ็อกซิ่งเดย์ หรือ 20 นัดติดต่อกัน
ในถ้วยเอฟเอ คัพ ความมหัศจรรย์เกิดขึ้นตั้งแต่รอบ 44 เมื่อแซงชนะ ลิเวอร์พูล 2-1 ในสองนาทีสุดท้ายจาก ดไวท์ ยอร์ค นาทีที่ 88 และโอเล่ กุนนาร์ โซลชา นาทีที่ 90 ต่อด้วยการรีเพลย์แมทช์รอบ 6 บุกชนะ เชลซี 2-0 และในรอบตัดเชือกที่ต้องสู้กับ อาร์เซน่อลในนัดรีเพลย์ ทีมเหลือ 10 คน เพราะ รอย คีน โดนไล่ออกช่วง15 นาทีสุดท้าย และเสียจุดโทษนาทีสุดท้ายแต่ ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล เซฟลูกสังหารของ เดนนิส เบิร์กแคมป์ แบกทีมไปต่อเวลา ก่อนที่ ไรอัน กิ๊กส์ จะกระชากครึ่งสนามเข้าไปยิงประตูชัยนาทีที่ 109
พวกเขาเข้าไปกินนิ่ม นิวคาสเซิ่ล 2-0 ในนัดชิง แต่เส้นทางของ ยูไนเต็ด ถือว่าหินมากในเอฟเอ คัพ ปีนั้น เช่นเดียวกับ แชมเปี้ยนส์ลีก ที่เตะรอบตัดเชือกแบบเหลือเชื่อทั้งสองเกม
ไรอัน กิ๊กส์ ยิงตีเสมอในช่วงทดเจ็บเกมแรกที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดทำให้สกอร์ 1-1 ก่อนบุกไปเยือนตูริน แล้ว ยูเวนตุส ทำท่าจะง่ายเมื่อ 11 นาทีผ่านขึ้นนำ 2 เม็ดจาก “ไอ้กุ้ง” ฟิลิปโป้ อินซากี้
แต่ 3 ประตูรวดของ รอย คีน, ดไวท์ ยอร์ค และแอนดี้ โคล ทำให้ยูไนเต็ด พลิกชนะ 3-2 ก่อนจะเกิดตำนานที่คาตาลุนญ่าในนัดชิงชนะเลิศ
l บาร์เซโลน่า (สเปน) ฤดูกาล 2008-09 และ 2014-15
“เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า กลายเป็นทีมแรกที่สามารถคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ในยุโรปได้ 2 ครั้ง ในฤดูกาล 2008-09 และ2014-15 ในยุคของ เป๊บ กวาร์ดิโอล่า และหลุยส์ เอ็นริเก้
ในปี 2009 เป๊ป คุมทัพโดยมี ซามูแอล เอโต้ สังหารคนเดียว 30 เม็ดในบอลลีก และได้ ลีโอเนล เมสซี่ มหัศจรรย์ลูกหนังชาวอาร์เจนไตน์ เติบโตขึ้นมาแบกทีมยิงทุกถ้วยรวมกันถึง 38 ประตู
บาร์ซ่า ทิ้งห่าง เรอัล มาดริด คู่ปรับสำคัญ 9 แต้มเข้าวินคว้าแชมป์ลา ลีกา และในศึกโกปา เดอ เรย์ ก็ถลุง บิลเบา 4-1 ต่อด้วยการสยบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-0 ครองแชมป์ยุโรป
ประเด็นคือ ยูไนเต็ด ลุ้นเป็นทีมแรกที่ป้องกันแชมป์ยุคแชมเปี้ยนส์ลีก แต่ลูกโหม่งจากคนตัวเล็กที่สุดในสนามอย่าง เมสซี่ยังคงตราตรึงไปทั่วโลก
เป๊ป สร้างทีมตอนนั้นมี ยายา ตูเร่ ที่ถอยตัวเองไปยืนเป็นเซ็นเตอร์แบ๊กคู่กับ เคราร์ด ปีเก้ พร้อมกับการเติบโตอย่างน่าสนใจของแผงมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดตลอดกาลแผงหนึ่งของโลกอย่าง ชาบีเอร์นานเดซ, อันเดรส อิเนียสต้า และเซร์คิโอ บุสเกตส์ ซึ่งปีต่อมาพวกเขาไปถึงแชมป์โลกสมัยแรกของสเปน หลังจากก่อนหน้านั้น1 ปี ชาบี กับ อิเนียสต้า คือกำลังสำคัญในการครองแชมป์ยุโรปของ “กระทิงดุ”
มาถึงปี 2015 หลุยส์ เอ็นริเก้ ปั้นทีมค่อยๆ ไล่ล่า เรอัล มาดริด จนกระทั่งมาแซงได้สำเร็จในนัดที่ 26 ของฤดูกาล ก่อนจะคว้าแชมป์ด้วยการทำแต้มเหนือคู่ปรับสำคัญ 2 คะแนน
ในศึกโกปา เดอ เรย์ ก็ชิงกับ บิลเบา เหมือนกับปี 2009 และก็เอาชนะไปได้อีก 3-1 และสกอร์นี้เกิดขึ้นในนัดสำคัญก็คือชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก กับ ยูเวนตุส จากอิตาลี ที่เบอร์ลิน
ทีมชุดนั้นของ บาร์ซ่า มีแนวรุกคือ เมสซี่, หลุยส์ ซัวเรซ และเนย์มาร์ ส่วนแดนกลาง อีวาน ราคิติช ก้าวขึ้นมายึดบทบาทของ ชาบี และประสานงานกับ อิเนียสต้า ในการล่าฝัน
l อินเตอร์ มิลาน (อิตาลี) ฤดูกาล 2009-10
“งูใหญ่” อินเตอร์ มิลาน ภายใต้การคุมทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่สร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมจากอิตาลีทีมแรกที่คว้า 3 แชมป์ในฤดูกาล 2009-10 บอลยุโรปเอาชนะ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค 2-0 จากการเหมาของ ดีเอโก้ มิลิโต้
ในปีนั้น มูรินโญ่ ทำงานร่วมกับ จูเซ็ปเป้ บาเรซี่ พี่ชายร่วมสายเลือดของ ฟรังโก้ บาเรซี่ ตำนานกองหลังอิตาเลี่ยน ในการปรุงทีมขึ้นมาก่อนจะเถือ “หมาป่า” โรม่า เข้าวินเป็นแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา2 คะแนนเท่านั้น
เช่นเดียวกับบอลถ้วย โคปปา อิตาเลีย “งูใหญ่” ก็ย้ำแค้นให้กับ “หมาป่า” ด้วยการบดชนะ 1-0 ในนัดชิงที่กรุงโรม ซึ่งคนที่สังหารประตูชัยก็คือ ดีเอโก้ มิลิโต้ เจ้าเดิม
ทีมนั้นมีสไตล์การเล่นที่น่าสนใจ ทีมยืดหยุ่นกับระบบ 4-4-2กับ 4-2-1-3 โดยใช้สูตรหลังในเกมนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีก นักบอลของ มูรินโญ่ มีตัวเก๋าอย่าง ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ, วอลเตอร์ ซามูเอล,ซามูแอล เอโต้, ลูซิโอ และฮูลิโอ ซีซาร์ มาบวกกับ เวสลี่ย์สไนจ์เดอร์, เอสเตบัน กัมบิอาสโซ่, เดยัน สแตนโควิช, คริสเตียน คิวู และความเฉีบบคมของ มิลิโต้ ลงตัวมากในปีนั้น
l บาเยิร์น มิวนิค (เยอรมนี) ฤดูกาล 2012-13 และ 2019-20
“เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค เป็นทีมที่ 2 ที่สามารถคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้ 2 หนต่อจาก บาร์เซโลน่า ด้วยฝีมือของจุ๊ปป์ ไฮย์เกส ในฤดูกาล 2012-13 และฮานซี่ ฟลิค ในซีซั่น 2019-20
ปี 2013 ตัวจ่ายเป็นตัวจริง ตัวยิงเป็นตัวจ่าย เมื่อ มาริโอ มานด์ซูคิซ ยิงได้ 15 ประตู แต่ยอดรวมทุกรายการ โธมัสมุลเลอร์ ยืนหนึ่งด้วยการซัลโว 23 เม็ด
ในการเตะบุนเดสลีกา ก็ไร้เทียมทานแพ้นัดเดียวให้กับเลเวอร์คูเซ่น และกำชัยได้ถึง 29 จาก 34 เกม ได้แชมป์ด้วยคะแนน 91 แต้ม ทิ้งห่าง ดอร์ทมุนด์ กระจาย ที่ได้แค่ 66 คะแนนเท่านั้น
ศึกเดเอฟเบ โพคาล ก็ปราบ สตุ๊ตการ์ท ในเกมนัดชิง 3-2 และเข้าไปเป็น 3 แชมป์ในศึกแดร์ คลาสสิเคอร์ ที่เวมบลีย์ อังกฤษ ด้วยการเชือด ดอร์ทมุนด์ ในนาทีที่ 89 จากสกอร์ของ อาร์เยนร็อบเบน 2-1 ทำให้โลกได้รู้จักการเล่นในสไตล์ “คัท อินไซด์” และคู่หู “ร็อบเบอรี่” นั่นคือ อาร์เยน ร็อบเบน กับ ฟรองค์ ริเบรี่ ไปตลอดกาล
มาถึงซีซั่นแห่งความวุ่นวายไปทั้งโลกจากโควิดนั่นก็คือ 2019-20 บอลลีกหยุดไปตั้งแต่ 8 มีนาคม 2020 กระทั่งกลับมาเตะเป็น“ชาติแรก” ในวันที่ 17 พฤษภาคม ซึ่ง บาเยิร์นฯ ไม่พลาดครองแชมป์บุนเดสลีกา ขาดลอย เช่นเดียวกับการชิงเดเอฟเบ โพคาลก็ยำ เลเวอร์คูเซ่น 4-2
ที่น่าสนใจก็คือ ตำแหน่งแชมป์ยุโรปปีนั้น บาเยิร์นฯ มีเส้นทางที่โหดเหี้ยมมาก ตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มที่บุกไปยำ สเปอร์ส 7-2 หรือต้อน เรดสตาร์ เบลเกรด 6-0 รวมถึงต้อน เชลซี แบบไปกลับยับ 7-1
ในรอบน็อกเอาท์ที่ต้องเล่นสนามกลางแบบนัดเดียวน็อก พวกเขาก็ถลุง บาร์เซโลน่า ได้ถึง 8-2 ถล่ม ลียง 3-0 และเป็นแชมป์ด้วยการทุบ ปารีส-แซงต์ แชร์กแมง 1-0
ฮันซี่ ฟลิก ทำทีมได้อย่างลงตัว พา บาเยิร์นฯ กวาดทุกรายการที่ลงสนามต่อเนื่องถึง 5 แชมป์ ไม่แปลกที่ในกาลต่อมา ฟลิก จะได้รับการเชิญตัวไปคุมทัพ เยอรมนี
บี แหลมสิงห์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี