“ผมและผู้ค้า ขอเรียกร้อง ให้นายกฯ มีคำสั่งอย่างเร่งด่วน ผ่อนผันให้ประชาชนสามารถขายของใน 3 ตลาดที่กล่าวไว้ข้างต้นได้ หากยังไม่มีการดำเนินการ ครั้งต่อไปที่จะยื่นเรื่องร้องเรียน จะมีการระดมกลุ่มผู้ค้าหาบเร่ แผงลอยมาทั้ง 50 เขตในพื้นที่ กทม. เพื่อส่งเสียงไปให้ถึงนายกฯ”
คำประกาศของ วัชระ เพชรทอง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อ 5 มี.ค. 2561 ซึ่งเป็นวันที่นำตัวแทนผู้ค้าหาบเร่แผงลอย จากพื้นที่ตลาดหน้าหมู่บ้านเสรี ซ.อ่อนนุช 70 เขตประเวศ ตลาดหน้าโลตัส ถ.พระราม 2 ซ.69 เขตบางขุนเทียน และตลาดโพธิ์ 3 ต้น เขตบางกอกใหญ่ เข้ายื่นหนังสือต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ณ ศูนย์บริการประชาชน ฝั่งสำนักงาน ก.พ. ทำเนียบรัฐบาล เพื่อเรียกร้องให้สามารถค้าขายในพื้นที่จุดผ่อนผัน
แล้วก็เป็นไปตามคาด เมื่อเรื่องนี้เป็นข่าวออกไป ก็กลายเป็น “ดรามา” เฉกเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา กล่าวคือ คนกลุ่มหนึ่งเห็นว่าสามารถแบ่งบางส่วนบนทางเท้าให้ทำการค้าได้ จึงเห็นด้วยกับการใช้อำนาจเปิดจุดผ่อนผันของหน่วยราชการปกครองส่วนท้องถิ่น กับคนอีกกลุ่มที่มองว่าไม่ควรอนุญาตไม่ว่ากรณีใดๆ เพราะทางเท้าเป็นสาธารณสมบัติของทุกคน การที่ภาครัฐเปิดจุดผ่อนผันบนทางเท้าโดยอ้างว่าเพื่อช่วยผู้ที่มีต้นทุนชีวิตน้อยให้มีอาชีพมีรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัว จึงเท่ากับการเบียดบังของส่วนรวมไปให้คนบางส่วนทำกินแบบเอาเปรียบสังคม
“ชีวิตในกรุงเทพฯ ปี 2493” จะเห็นว่ามีการตั้งแผงขายสินค้าบนทางเท้าอยู่ประปราย
ภาพประกอบ : http://teakdoor.com/famous-threads/39970-siam-thailand-bangkok-old-photo-thread-94.html
ไม่ว่าจะชอบหรือหรือไม่? แต่ความจริงคือ “หาบเร่แผงลอยเกิดขึ้นคู่กับสังคมไทยมาตั้งแต่ครั้งก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์” โดยบทความ “การจัดการการค้าหาบเร่แผงลอย ในกรุงเทพมหานคร : ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ” ซึ่งเขียนโดย รศ.ดร.นฤมล นิราทร อาจารย์ภาควิชาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เล่าว่า ในช่วงแรกๆ นั้น ผู้ประกอบอาชีพหาบเร่แผงลอยคือ “ชาวจีนอพยพ” และจำนวนไม่น้อยใช้จุดนี้เป็น “ก้าวแรก” ไปสู่การทำธุรกิจที่ใหญ่โตขึ้นในเวลาต่อมา
ส่วนชาวไทยนั้นแม้จะเริ่มเข้ามาเป็นพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่แผงลอยตั้งแต่สมัยนายกรัฐมนตรี จอมพล ป. (แปลก) พิบูลสงคราม (ช่วงทศวรรษที่ 2480s และ 2490s) ที่มีการออกนโยบายจำกัดสิทธิชาวจีนหลายประการ แต่จำนวนผู้ค้าชาวไทยนั้นเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญจริงๆ เมื่อเข้ายุค แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตั้งแต่ฉบับที่ 1 เป็นต้นมา (ปี 2504) เพราะเป็นการ “เปลี่ยนผ่าน” จากสังคมเกษตรกรรมเข้าสังคมอุตสาหกรรม ผู้คนจากทั่วสารทิศละทิ้งเรือกสวนไร่นาเข้ามาเป็นผู้ใช้แรงงานในเมือง โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร (กทม.)
โดยเฉพาะหลังปี 2523 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยมุ่งมั่นสู่ความเป็น “นิกส์” (NICS) หรือประเทศอุตสาหกรรมใหม่ บทความอ้างถึงผลการศึกษาในยุคนั้น ถึงปัญหา “ความเหลื่อมล้ำระหว่างเมืองกับชนบท” ส่งผลให้คนจากต่างจังหวัดต้องเข้ามาอยู่ในเมืองกรุง ทำให้มีความต้องการสินค้าและบริการราคาประหยัดมากขึ้น และอีกครั้งช่วงหลังปี 2540 ที่ประเทศไทยประสบ “วิกฤติต้มยำกุ้ง” เศรษฐกิจล่มสลาย ผู้คนตกงานจำนวนมาก แม้กระทั่งคนระดับ “เจ้าพ่อตลาดหุ้น” ยังต้องมายืนขายแซนด์วิชริมถนน ช่วงปี 2542-2543 จำนวนผู้ค้ามีสูงถึงราว 3 แสนคน
“ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ” ก่อนปี 2540 เขาคือ “เซียนหุ้น” เป็นที่รู้จักของนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติ แต่วิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 ทำให้เขาสูญสิ้นทุกอย่าง ถึงขนาดต้องไปยืนขายแซนด์วิชริมถนนเพื่อความอยู่รอดของตนเองและครอบครัว ใช้เวลาหลายปีจนฐานะดีขึ้น ภายใต้แบรนด์ “ศิริวัฒน์แซนด์วิช” ที่รู้จักกันในเวลาต่อมา
ภาพประกอบ : https://www.facebook.com/sirivatsandwich/
อนึ่ง..หากไปดูนโยบายของ กทม. ต่อหาบเร่แผงลอย “จุดเปลี่ยน” ครั้งสำคัญ อยู่ที่การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ปี 2543 เมื่อ สมัคร สุนทรเวช ผู้สมัครจากพรรคประชากรไทยชูนโยบาย “นำแผงลอยขึ้นบนดิน” จดทะเบียนให้ถูกกฎหมาย ไม่ต้องวิ่งหนีเทศกิจ เข้าทำนอง “ประชานิยม” ส่งผลให้นักการเมืองผู้ชื่นชอบการทำอาหารจนมีคำขวัญประจำตัว “ชิมไปบ่นไป” คว้าเก้าอี้พ่อเมือง กทม. ไปครอง ชนะเลือกตั้งด้วยคะแนนท่วมท้น “ทะลุล้าน” เป็นคนแรก
จนมีผู้วิเคราะห์ว่า “ปัจจัยชี้ขาด” ชัยชนะของนายสมัคร ในศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เมื่อปี 2543 คือการ “ปลุกรากหญ้าให้ตื่น” จากเดิมที่คนระดับล่างหาเช้ากินค่ำ มักถูกมองว่า “นอนหลับทับสิทธิ์” ไม่สนใจการเลือกตั้งและการเมืองมาตลอด ซึ่งหลังจากนั้น ไม่ว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี หรือใครจะเป็นผู้ว่าฯ กทม. ไม่ว่าทั้ง 2 ตำแหน่งจะเป็นขั้วการเมืองเดียวกันหรือคนละฝ่ายแต่ก็ไม่พบแนวคิดกวาดล้างแผงลอยอย่างจริงจัง
มีก็แต่เพียงการตำหนิแบบ “ลีลาทางการเมือง” เท่านั้น เพราะต่างก็รู้ว่านี่คือ “ฐานะเสียงสำคัญ” กลุ่มใหญ่ กระทั่งการมาของ คสช. ที่บอกว่า “ไม่ต้องสนใจคะแนนเสียง” นี่เอง ทำให้จำนวนจุดผ่อนผัน “ลดลง” จาก 726 จุด ในปี 2556 เหลือ 665 จุด ในปี 2557 ก่อนจะ “ลดฮวบ” ลงมาเหลือเพียง 243 จุด ในปี 2559 และไม่เพียงแต่แผงลอยบนทางเท้าเท่านั้น กระทั่งตลาดระดับ “ตำนาน” รู้จักกันไปทั่วโลกอย่าง “คลองถม-สะพานเหล็ก-สะพานพุทธ” วันนี้ก็เหลือไว้แต่ชื่อและความทรงจำเท่านั้น เพราะถูกจัดระเบียบจนผู้ค้ากระจัดกระจายไปที่อื่นหมดแล้ว
จำนวนผู้ค้าหาบเร่แผงลอยใน กทม.
ภาพประกอบ : http://www.bangkok.go.th/citylaw/page/sub/4043
เรื่องนี้ต้องยอมรับอีกเช่นกันว่า “เศรษฐกิจฐานรากของไทยมักอยู่นอกระบบ” กล่าวคือหาบเร่แผงลอยไม่จำเป็นต้องผิดกฎหมายเสมอไปหากค้าขายใน “จุดผ่อนผัน” ก็ถือว่าทำถูกต้องตามกฎหมาย แต่ที่เรียกว่าอยู่นอกระบบเพราะ “ไม่ได้เข้าสู่ระบบภาษีเงินได้” อย่างบริษัทห้างร้านทั่วไป และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่ถูกนำมา “ค่อนขอด” อยู่เสมอว่าในขณะที่มนุษย์เงินเดือนชนชั้นกลางถูกหักภาษีกันแบบหมดโอกาสหลีกเลี่ยง แต่ผู้ค้าแผงลอยไม่เคยเสียภาษีเงินได้สักบาททั้งที่หลายคนมีรายได้มากกว่ามนุษย์เงินเดือนเสียอีก
เอกสารชุด “เศรษฐกิจนอกระบบ : อะไร อย่างไร ทำไม” ที่จัดทำโดย ผศ.ดร.ธานี ชัยวัฒน์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายการเกิดขึ้นของเศรษฐกิจนอกระบบไว้ว่า “เพราะยืดหยุ่นกว่าในระบบ” ทั้งในฝ่าย “ผู้ขาย” ที่การจดทะเบียนต่างๆ ยุ่งยากและค่าใช้จ่ายมากเมื่อเทียบกับต้นทุนที่มีในมือ “แรงงาน” ที่อาจจะมีคุณสมบัติไม่ถึงสำหรับการเข้าไปเป็นแรงงานในระบบ และ “ผู้บริโภค” ที่ต้องการสินค้าและบริการในราคาประหยัด โดยเฉพาะในสังคมเมืองที่ค่าครองชีพค่อนข้างสูง
ส่วนหนึ่งจากเอกสาร “เศรษฐกิจนอกระบบ : อะไร อย่างไร ทำไม” จัดทำโดย ผศ.ดร.ธานี ชัยวัฒน์
ภาพประกอบ : https://www.bot.or.th/Thai/MonetaryPolicy/ArticleAndResearch/DocumentEconomicSeminar/informal_economy_slides_thanee_260614.pdf
อาจารย์ธานี เคยบรรยายในหัวข้อ “เศรษฐกิจนอกระบบในมุมมองเศรษฐศาสตร์” ซึ่งจัดโดยคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ว่า เศรษฐกิจนอกระบบมี “ข้อดี” อาทิ เป็นที่พึ่งพิงของ “คนระดับล่าง-คนชายขอบ” ที่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงกลไกในระบบ รวมถึงนักธุรกิจหน้าใหม่ที่ “ทุนทรัพย์” ไม่เพียงพอ เมื่อเทียบกับต้นทุนการจดทะเบียนตามกติกาของรัฐเป็นต้น
แต่ก็มี “ข้อเสีย” เพราะสินค้าและบริการจากเศรษฐกิจนอกระบบ อันมีจุดเด่น “ถูก-เร็ว-ง่าย” ก็มีต้นทุนเช่นกัน นั่นคือการ “เบียดบังประโยชน์สาธารณะ” เช่น แผงลอยขายของบนทางเท้า จนพื้นที่เดินเท้าลดลง หรือการไม่จ่ายภาษี ทำให้ขาดงบประมาณพัฒนาประเทศ นอกจากนี้ยังมี “ค่าบริหารจัดการ” ที่ต้องจ่าย เพียงแต่ถูกกว่าจ่ายให้รัฐ และผู้ทำหน้าที่บริหารจัดการไม่ใช่รัฐ จึงเชื่อมโยงไปถึงประเด็น “ส่วย” อันหมายถึงการทุจริตด้วย
“เศรษฐกิจในระบบแข่งขันกันมาก อยากกดค่าจ้างก็เอาเปรียบแรงงาน แต่ทำไมแรงงานถึงยังอยู่ได้? เพราะเขาหาซื้ออาหารและเสื้อผ้าราคาถูกได้ ทำไมเขาถึงขายอาหารและเสื้อผ้าราคาถูกได้? เพราะจำนวนหนึ่งไปเอาเปรียบสาธารณะ หรือไม่จ่ายภาษี ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ด้านหนึ่งจะกลายเป็นระบบที่มีการขูดรีดกันเชิงโครงสร้าง สุดท้ายที่ถูกเอาเปรียบที่สุด คือ สาธารณะ” (ผศ.ดร.ธานี ชัยวัฒน์ : ‘ระบบรัฐ’เปลือง-ช้า-รุ่มร่าม ธุรกิจมืด...ปราบยาก-เบ่งบาน เศรษฐกิจนอกระบบ!!! : “แนวหน้าวาไรตี้” นสพ.แนวหน้า หน้า 13 ฉบับวันที่ 9 มี.ค. 2560)
ไม่เท่านั้น แผงลอยของไทยยังโด่งดังไปไกลระดับโลก โดยเฉพาะคำว่า “Street Food” ที่สื่อต่างชาติยกให้เป็น “Best of the World” เสมอมา อาทิ สำนักข่าว CNN ของสหรัฐอเมริกา ที่ใส่ “Bangkok” อันเป็นชื่อที่ชาวต่างชาติใช้เรียกกรุงเทพฯ ลงในหมุดหมายของเมืองที่มี “อาหารข้างทาง” อร่อยที่สุดในโลก ทั้งในปี 2559 และ 2560 รวมถึงสำนักข่าว BBC ของอังกฤษ ก็เคยเสนอรายงานพิเศษ “Bangkok's disappearing street food” ในปี 2559 ที่ตอนหนึ่งไปสัมภาษณ์ผู้ค้าย่านปากคลองตลาด ซึ่งเล่าว่า “นักท่องเที่ยวอยากได้ความแตกต่าง” ก็คืออาหารข้างทางนั่นเอง
“เยาวราช” ย่านการค้าเก่าแก่ของชาวจีน และเป็น 1 ในย่านขึ้นชื่อด้านอาหารข้างทาง (Street Food) ของกรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทยที่สำนักข่าว CNN ยกให้เป็น 1 ใน 23 เมืองที่อาหารข้างทางอร่อยที่สุดในโลก
ภาพประกอบ : https://edition.cnn.com/travel/article/best-cities-street-food/index.html
รวมถึงนักวิชาการไทย ดร.สิริรัตน์ เสรีรัตน์ ศรประสิทธิ์ อาจารย์ภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาฯ บอกเล่าในการบรรยายหัวข้อ “แผงลอย : ความไม่เป็นทางการและความเฉียบพลัน” ในฐานะที่เคยลงพื้นที่สำรวจแผงลอยหลายแห่งในยุคก่อนหน้า คสช. จัดระเบียบ ว่า แผงลอยแต่ละแห่งมี “ความเฉพาะตัว” ตามสภาพแวดล้อมของแต่ละจุด (ดร.สิริรัตน์ เสรีรัตน์ ศรประสิทธิ์ : สำรวจ‘หาบเร่แผงลอย’(1) ‘โลกนอกสารบบ’กลางกรุง : “สกู๊ปแนวหน้า” นสพ.แนวหน้า หน้า 5 ฉบับวันที่ 5 ก.ย. 2559)
เช่น “ย่านเทเวศร์และรอบๆ” หากเป็นบริเวณใกล้กับ “แบงก์ชาติ” ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สินค้าและตัวร้านจะดู “มีระดับ” ประเภทเสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องสำอาง ต้อนรับลูกค้าซึ่งทำงานใน ธปท. ที่ดูแล้ว “เงินเดือนดี-รายได้สูง” ประมาณหนึ่ง แต่หากเป็นบริเวณ “คุรุสภา” จะขายสินค้าประเภทชุดชั้นในแบบบ้านๆ พื้นๆ ไม่หวือหวา หรือขายผลไม้เกรดดีเยี่ยม เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่เป็น “ครู” จากทั่วประเทศที่มาประชุมกัน ณ คุรุสภา และครูจำนวนมากเป็น “ผู้หญิง” จึงนิยมซื้อสินค้าเหล่านี้ไปใช้เองบ้าง นำไปฝากญาติสนิทมิตรสหายบ้าง
หรือหากเป็น “ตลาดเทเวศร์” ช่วงเช้าจะขายอาหารตามปกติ แต่ช่วงเย็นถึงค่ำจะแปรสภาพเป็น “ร้านจิ้มจุ่ม” ขายอาหารอีสานพร้อมมีเบียร์ให้นั่งดื่ม ต้อนรับบรรดา “ทหาร” ที่แวะเวียนมาสังสรรค์นอกเวลาราชการ เป็นต้น ทั้งนี้การมีอยู่ของแผงลอย ยัง “เชื่อมโยง” กับการจ้างงานบางประเภท เช่น ในยุคที่ทางเท้า “สยามสแควร์” ยังขายของได้ จะพบว่ากลุ่มผู้ค้าได้ว่าจ้างรถกระบะบ้าง รถ 6 ล้อบ้างพร้อมแรงงาน เข้ามา “ตั้งแผง” ให้เรียบร้อย และช่วงดึกราวๆ 22.00-24.00 น. คนกลุ่มเดิมก็จะเข้ามา “เคลียร์พื้นที่” รื้อแผง-เก็บสินค้าเมื่อตลาดเริ่มวาย
นายวัชระ เพชรทอง (คนกลางใส่สูท) อดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ นำประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากนโยบายยกเลิกจุดผ่อนผันแผงลอย 3 พื้นที่ เข้ายื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี เมื่อ 5 มี.ค. 2561
ย้อนกลับไปยังข้อสังเกตของอดีต ส.ส. วัชระ ในการนำกลุ่มผู้ค้า 3 จุดเข้ายื่นหนังสือต่อนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ ตอนหนึ่งได้ตั้งข้อสังเกตว่า “สาเหตุของการจัดระเบียบและให้ออกจากพื้นที่ดังกล่าว อาจจะมาจากต้องการเอาใจร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า ไม่ให้มีหาบเร่แผงลอยไปขายของหน้าบริเวณดังกล่าว” ซึ่งทำให้ส่งผลกระทบต่อผู้ค้ากว่า 20,000 ครอบครัว ที่ไม่มีเงินไปเช่าที่ขายของในตลาด แม้ว่า รัฐบาลจะจัดพื้นที่ให้ค้าขายแทนที่เดิม โดยอ้างว่า เป็นตลาดประชารัฐ แต่กลับอยู่ในพื้นที่อับและห่างไกล ทำให้ไม่มีประชาชนเข้าไปซื้อของ
ข้อสังเกตนี้แม้กระทั่ง “หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์” ที่ วัชระ สังกัดอยู่อย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เคยกล่าวเช่นเดียวกัน ในงานสัมมนาประจำปีคณะเศรษฐศาสตร์ ครั้งที่ 11 “แนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางการลงทุน ปี 2561 : อนาคตประเทศไทย เปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตย” ณ มหาวิทยาลัยรังสิต เมื่อ 27 พ.ย. 2560 โดยตอนหนึ่งกล่าวถึงผลกระทบของการจัดระเบียบแผงลอยใน กทม. อย่างที่เป็นอยู่ไว้ว่า
“ใน กทม. เอง วันนี้การจัดระเบียบที่บอกว่าจะขจัดทุกอย่างออกจากทางเท้า รวมถึงพ่อค้าแม่ขายหาบเร่แผงลอยที่ขายอาหาร อันนี้ก็ทำให้เกิดปัญหา 2 ต่อ ต่อแรกคือผู้ขายสูญเสียรายได้อยู่แล้ว ทั้งที่จริงๆ ถ้าจะจัดระเบียบมันก็มีวิธีการอื่นนอกจากที่จะให้เขาเลิกขาย กับต่อที่สองที่คนไม่ค่อยได้พูดกัน นี่คือแหล่งอาหารราคาถูกสำหรับคนทำงานในกรุงเทพจำนวนมหาศาลก็หายไปอีก”
การยกเลิกจุดผ่อนผันหาบเร่แผงลอย รวมไปถึงการไม่มีนโยบายอุดหนุนภาคเกษตร ซึ่งก็เป็นเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่ จึงถูกให้น้ำหนักว่าส่งผลกระทบต่อ “เศรษฐกิจฐานราก” ไปโดยปริยาย ดังนั้นจะเห็นได้จาก “เสียงบ่น” ของประชาชนทั่วไปที่สะท้อนผ่าน “ผลโพล” ทุกสำนักตลอด 3 ปีกว่าในการบริหารของรัฐบาล คสช. ว่า “คสช. สอบตกเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง” สวนทางกับตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) และตัวเลขการส่งออกที่รัฐบาลแถลงอย่างภูมิใจว่าโตวันโตคืน
“เศรษฐกิจคือจุดอ่อนของรัฐบาล คสช.” : (ซ้าย) ผลการสำรวจของศูนย์สำรวจความคิดเห็น สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้าโพล) เผยแพร่เมื่อ 17 ธ.ค. 2560 , (ขวา) ผลการสำรวจของศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เผยแพร่เมื่อ 3 มี.ค. 2561
สำหรับการเปิดจุดผ่อนผันให้ขายสินค้านั้น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีอำนาจตาม พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 (มาตรา 20) ที่ระบุว่า ห้ามมิให้ผู้ใด (1) ปรุงอาหาร ขายหรือจำหน่ายสินค้าบนถนน หรือในสถานสาธารณะ (2) ใช้รถยนต์หรือล้อเลื่อนเป็นที่ปรุงอาหารเพื่อขายหรือจำหน่ายให้แก่ประชาชนบนถนนหรือในสถานสาธารณะ และ (3) ขายหรือจำหน่ายสินค้าซึ่งบรรทุกบนรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรือล้อเลื่อน บนถนนหรือในสถานสาธารณะ
อย่างไรก็ตาม ความข้างต้นดังกล่าว “มิให้ใช้บังคับ” แก่การปรุงอาหารหรือการขายสินค้าตาม (1) หรือ (2) ในถนนส่วนบุคคลหรือ “ในบริเวณที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ประกาศผ่อนผันให้กระทำได้” ในระหว่างวัน เวลาที่กำหนด ด้วยความเห็นชอบของเจ้าพนักงานจราจร เช่นในกรุงเทพฯ ก็คือ กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ดังนั้นหากทางเท้าจุดใดที่ กทม. และ บช.น. เห็นชอบร่วมกันว่าเปิดจุดผ่อนผันได้ จุดนั้นผู้ค้าย่อมตั้งแผงลอยได้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยอาจอยู่ภายใต้ข้อกำหนด อาทิ วัน-เวลาที่อนุญาตให้ทำการค้าขาย เป็นต้น
ฉะนั้นในมุมหนึ่ง..การออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ผู้ค้าแผงลอยของอดีต ส.ส. วัชระ จะถูกมองเป็น “ประเด็นทางการเมือง” ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะจากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น กฎหมายอนุญาตให้ท้องถิ่นตั้งหรือยกเลิกจุดผ่อนผันได้ ก็ขึ้นอยู่กับทิศทางของนโยบายผู้ว่าฯ กทม. และแน่นอนว่าหากเป็นผู้ว่าฯ นักการเมือง จำเป็นต้องพึ่งพาคะแนนเสียงเลือกตั้ง อย่างไรเสียก็คงต้องยอม “ประนีประนอม” อย่างที่เคยเป็น และไม่ต้องแปลกใจที่หลายคนมองว่า “การเลือกตั้ง” นำประเทศกลับสู่ประชาธิปไตย จะทำให้ปากท้องของคนระดับฐานรากดีขึ้น
สังคมไทยที่มี “ชนชั้นล่าง-กลางค่อนไปล่าง” อยู่จำนวนมาก ซึ่งเห็น “ปากท้อง-รายได้” สำคัญที่สุด ในจำนวนพอๆ (หรืออาจจะมากกว่า หากดูจากผลการเลือกตั้งที่ผ่านๆ มา รวมถึงการที่ทุกพรรคต้องแข่งกันนำเสนอนโยบายแบบประชานิยม) กับ “ชนชั้นกลาง” ที่อยากเห็นประเทศไทย “สะอาด-สวยงาม-เป็นระเบียบ” เฉกเช่นชาติที่เจริญแล้วทั้งตะวันออกและตะวันตก นโยบายของภาครัฐจึง “ไม่อาจไปได้สุดทาง” จะห้ามมีแผงลอยทั้งหมดก็ไม่ได้ แต่จะเปิดเสรีเต็มที่ก็คงไม่ดีอีก เข้าทำนองสำนวนโบราณ
“กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” โดยแท้!!!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
- 'วัชระ'นำผู้ค้า หาบเร่ร้อง'บิ๊กตู่'ผ่อนผัน ลั่นเพิกเฉยขน50เขตบุกถล่ม
- 'มาร์ค'สับนโยบาย คสช. แก้ ศก.ฐานรากเหลว ชี้ยิ่งเพิ่มเหลื่อมล้ำ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี