พระวิทยา กิจฺจวิชฺโช เจ้าอาวาสวัดป่าดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน จ.เชียงใหม่ หนึ่งในคณะศิษยานุศิษย์ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก พระวิทยา กิจฺจวิชฺโช โดยระบุถึงพระที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ในกรอบแห่งพระธรรมวินัย ย่อมไม่มีทางที่จะทำผิดกฎหมาย
โดยการโพสต์ข้อความดังกล่าวมีขึ้นในระหว่างที่วงการสงฆ์และวัดต่างๆ กำลังถูกตรวจสอบอย่างหนักจากเจ้าหน้าที่รัฐในกรณีการทุจริตเงินอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม หรือ ทุจริตเงินทอนวัด ซึ่งมีพระเถระชั้นผู้ใหญ่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหลายรูปและในจำนวนนี้มีพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่เป้นถึง "กรรมการมหาเถรสมาคม" เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยถึง 3 รูป ก่อนนำมาสู่การบุกเข้าจับกุมถึงจับสึกพระผู้ใหญ่ทั้งหมด 5 รูปและหลบหนีการจับกุมอยู่ในขณะนี้อีก 2 รูปคือ พระพรหมสิทธิ (ธงชัย สุขญาโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กรรมการ มส.และเจ้าคณะภาค 10 และพระพรหมเมธี (จำนงค์ ธมฺมจารี) อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม กรรมการ มส. และเจ้าคณะภาค 4-7
สำหรับข้อความที่พระวิทยา กิจฺจวิชฺโช เจ้าอาวาสวัดป่าดอยแสงธรรมญาณสัมปันโน จ.เชียงใหม่ โพสต์ลงใน "เฟซบุ๊ก พระวิทยา กิจฺจวิชฺโช" เมื่อ 24 พฤษภาคม เวลา 21:08 น. มีเนื้อหาว่า "...พระที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ในกรอบแห่งพระธรรมวินัย ไม่มีทางที่ท่านจะทำผิดกฎหมาย เพราะพระธรรมวินัยนั้นละเอียดกว่ากฎหมาย ถ้าลองได้ถึงขั้นทำผิดกฎหมาย นั่นก็แสดงว่า มันแทงทะลุออกนอกกรอบแห่งพระธรรมวินัยไปนานล่ะ..."
พระวินัยคือ คำสั่ง สั่งอย่างไรต้องทำอย่างนั้น ศิษย์พระตถาคตจะไม่มีการต่อรองโดยอ้างความจำเป็น หรือความสะดวกสบาย แล้วมาล่วงเกินพระวินัยอย่างเด็ดขาด มีแต่จะต้องทำให้ได้ตามที่พระบรมศาสดาสั่งไว้เท่านั้น
ส่วนพระธรรมคือ คำสอน คำสอนย่อมมีความละเอียดแยบคายกว่าพระวินัยเข้าไปอีก ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ในพระธรรม ก็จะไม่มีทางผิดพระวินัยได้เลย แต่บางอย่างก็อาจผิดธรรม แต่ไม่ผิดพระวินัยก็มีอยู่อย่างมากมาย
ดังเช่น ได้ยินคนพูดจากระทบกระแทกแดกดัน ก็เกิดความโกรธเกลียดเคียดแค้นขึ้นมา เกิดความคิดอาฆาตพยาบาทหงุดหงิดอยู่ในใจ คิดจะทำร้ายเขา นี่เรียกว่า ผิดธรรมแล้ว แต่ถ้ายังไม่กระทำการใด ๆ อันเป็นความผิดทางกาย หรือทางวาจา ก็ยังไม่ถือว่าผิดพระวินัย ต่อเมื่อไปต่อยตีกัน หรือด่าทอต่อว่ากันด้วยคำหยาบ ก็จึงจะผิดพระวินัย ดังนี้เป็นต้น
เพราะเหตุนั้น บรรดาท่านผู้ทรงคุณธรรมชั้นสูงระดับโลกุตระ ท่านจึงไม่มีทางที่จะกระทำการใด ๆ ให้ผิดพระวินัยได้อีกเลยตลอดกาล เพราะธรรมย่อมรักษาใจไว้ไม่ให้มีเจตนาทำชั่วใด ๆ ได้อีก
นับตั้งแต่พระโสดาบันเป็นต้นไป ท่านจึงมีศีล ๕ บริสุทธิ์ ถ้าเป็นพระก็มีศีล ๒๒๗ บริสุทธิ์ ท่านไม่จำเป็นต้องทำความพยายามเพื่อรักษาศีลใด ๆ อีกตลอดกาล เพราะว่า กิเลสตัวเจตนาที่จะทำให้คิดล่วงเกินศีล ได้ขาดสะบั้นล้มตายหายซากไปจากใจของท่านหมดแล้วนั่นเอง
ใจของท่านทรงศีลอยู่โดยปกติเป็นหลักธรรมชาติไม่มีกลางวัน ไม่มีกลางคืน ได้ชื่อว่า เป็นผู้มีราตรีเดียวเจริญ เหตุนั้น พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านจึงยอมตาย ก็ไม่ยอมทำผิดศีลเป็นเรื่องปกติ
ไม่เหมือนอย่างพวกเราท่านทั้งหลาย ที่ยังเป็นปุถุชนคนหนาด้วยกิเลสความโลภ ความโกรธ ความหลง ศีลก็ยังลุ่ม ๆ ดอน ๆ บางคนก็เห็นศีลเป็นของมีค่า บางคนก็เห็นศีลเป็นของไร้ค่า ศีลของบางคนก็มีราคาแค่หลักร้อย บางคนก็หลักพัน บางคนก็อาจมีราคาหลักหมื่น หลักแสน หรือหลักล้าน เช่น บางคนเห็นเงินของคนอื่นทำตกไว้แค่ร้อยเดียว ก็คว้ามับเอามาเป็นของตัวเสียแล้ว ก็เรียกว่า ศีลของคนนั้นมีราคาแค่ร้อยเดียว แต่ศีลของบางคนก็อาจมีราคามากกว่านั้น เห็นเขาทำเงินตกพันก็ไม่เอา หมื่นก็ไม่เอา แสนก็ไม่เอา แต่ถ้าล้านกลับเอาก็ได้ ศีลของเขาก็มีราคาแค่ล้านเดียว
ถ้าเมื่อใดใครสามารถรักษาศีลด้วยเทิดทูนไว้เหนือชีวิตได้ จนไม่สามารถประเมินค่าได้ไม่ว่าจะเป็นเงินกี่หมื่น กี่แสน กี่ล้าน ยอมสละชีวิตเพื่อรักษาศีลได้อย่างมั่นคง ทำใจให้ตั้งมั่นอยู่ในศีลเช่นนี้ อย่างไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน จึงได้ชื่อว่า เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ย่อมอยู่ใกล้ประตูแห่งมรรค ผล นิพพานโดยแท้ ผู้เช่นนั้นย่อมมีโอกาสจะได้ดวงตาเห็นธรรม ก้าวพ้นจากทุกข์ไปได้อย่างแน่นอน
พระที่ทำผิดกฎหมายก็ต้องปล่อยให้ว่ากันไปตามกฎหมาย ก็ปล่อยให้เจ้าหน้าที่เขาดำเนินคดีไป เพราะพระไม่ใช่อภิสิทธิ์ชนที่จะทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย หากคิดว่าตัวเองบริสุทธิ์ ก็ไม่ควรที่จะหลบหนีคดี ถ้าบริสุทธิ์จริง เจ้าหน้าที่เขาคงไม่มีหลักฐานที่จะเอาผิดได้
ชาวพุทธจงแยกให้ออกระหว่างพระที่เป็นปัจเจกชน กับศาสนาพุทธที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นคนละส่วนคนละอันกัน ถ้าพระทำผิดกฎหมายถึงขั้นติดคุกก็ต้องถอดจีวรออกไปสู้คดีพิสูจน์ความจริงกันในศาลเสียก่อน ถ้าแน่ใจว่าตัวเองไม่ผิด จะไม่กล่าววาจาลาสิกขาก็ย่อมได้
ถ้าในระหว่างติดคุกยังสามารถรักษาพรหมจรรย์ไว้ได้ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าไม่ผิด ก็ยังกลับมาเป็นพระภิกษุได้อีกเหมือนเดิม แต่ถ้าผิดกฎหมายจริง จะกล่าวคำลาสิกขาหรือไม่ก็ตาม ก็ถือว่าขาดจากความเป็นพระไปแล้ว นั่นคือเป็นปาราชิกข้อใดข้อหนึ่งอย่างแน่นอน ในกรณีนี้ก็หนีไม่พ้นข้อลักทรัพย์มีราคาตั้งแต่ ๕ มาสกขึ้นไป เทียบเท่ากับทองคำหนัก ๒๐ เมล็ดข้าวเปลือก น่าจะได้ประมาณน้ำหนักทองคำสักสลึงหนึ่งได้ไหม ใครลองไปชั่งดู ทันทีที่ทรัพย์นั้นเคลื่อนจากที่ พระภิกษุนั้นก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้
ส่วนพระที่หลบหนีการจับกุม ก็คงรู้ตัวแล้วว่า ได้กระทำผิดแน่ ๆ ได้ชื่อว่าเป็นอลัชชีแท้ ขาดจากความเป็นพระไปตั้งแต่วันที่ได้กระทำผิดแล้ว พวกอลัชชีนี้ ถ้าจับไม่ได้คาหนังคาเขา ก็ไม่มีทางที่จะยอมจำนน ก็ถือว่าเจ้าหน้าที่เขาทำไปตามหน้าที่ ถ้าพระทำผิดจริงก็เท่ากับช่วยกันกำจัดมารศาสนาให้สิ้นซากไป ศาสนาจะได้สะอาดสะอ้านกว่านี้บ้าง ยังมีตัวบิ๊ก ๆ อีกหลายตัวที่เป็นกลุ่มก๊วนเดียวกัน ลองขยายผลต่อไปเถอะ ไหน ๆ จะกวาดล้างกันแล้ว ก็ล้างบางไปเสียทีเดียวเลย พวกที่เฒ่าแก่เพราะอยู่นาน แต่ใจไม่มีศีลไม่มีธรรม ไม่มีหิริโอตตัปปะ ถึงอยู่ไปก็รังแต่จะรกศาสนาเปล่า ๆ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี