วันพุธ ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2568
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน เป็นอย่างไรกันบ้างครับช่วงนี้ข่าวสารการเมืองคึกคักไม่เว้นแต่ละวัน บ้างเป็นการแฉเรื่องความเกี่ยวพันระหว่างนักการเมืองกับเรื่องคอร์รัปชัน บ้างเป็นเรื่องทะเลาะกันภายในพรรค การย้ายพรรค บ้างเป็นการประกาศผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง บ้างเป็นการประกาศนโยบาย พวกเราคงจะเริ่มเห็นหลายพรรคเริ่มลงพื้นที่หาเสียงตั้งแต่สภายังไม่ยุบ เห็นป้ายหาเสียงติดตั้งแต่ยังไม่มีหมายเลขผู้สมัคร หรือหมายเลขพรรค ผมสังเกตว่าภาคการเมืองตื่นตัวและเตรียมตัวสำหรับการเลือกตั้งที่จะถึงในเร็ววันนี้มากกว่าครั้งก่อนๆ ว่าแต่ท่านผู้อ่านมีพรรคหรือผู้สมัครที่อยากเลือกในใจหรือยังครับ? และอะไรเป็นสิ่งที่ท่านผู้อ่านใช้ประกอบการพิจารณาเลือกพรรคและเลือกผู้แทนครับ?
ผมเองที่ติดตามข่าวสารการเมืองก็ได้มีโอกาสฟังการแถลงผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อนโยบายต่อต้านคอร์รัปชันของพรรคการเมืองและนักการเมืองไทยในการเลือกตั้ง 2566 ในวันพุธที่ผ่านมา ที่จัดทำโดย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และ มูลนิธิ “เพื่อคนไทย” ผลการสำรวจฯ นี้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนจำนวน 2,255 ตัวอย่างทั่วประเทศระหว่างวันที่ 5-25 มกราคม 2566วันนี้ผมเลยจะถือโอกาสมาเล่าและวิเคราะห์สิ่งที่น่าสนใจจากผลการสำรวจฯ ในทัศนะของผมครับ
เรื่องแรกที่น่าสนใจคือจากผลสำรวจฯ นั้น ปัญหาคอร์รัปชัน กลายเป็นปัญหาสำคัญของประเทศที่จะต้องแก้ไขมากที่สุด ถึง 25% เลื่อนขึ้นมาจากที่เคยอยู่อันดับสามในปี 2562 รองลงมาเป็นปัญหาด้านการศึกษา 14% ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม 13% และปัญหาอื่นๆ เกาะกลุ่มกันไม่ว่าจะเป็นปัญหายาเสพติด ปัญหาสังคม ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาคุณภาพชีวิต ที่ผลเป็นอย่างนี้ เป็นไปได้ว่าคนไทยเริ่มเห็นว่าคอร์รัปชันเป็นปัญหาที่ร้ายแรงและใกล้ตัวมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงเริ่มมีความเข้าใจว่าการคอร์รัปชันนั้นเป็นบ่อเกิดให้มีปัญหาสังคมอื่นตามมา หรือทำให้ปัญหาสังคมอื่นๆ ที่มีอยู่แล้วไม่ถูกแก้ไข หรือแก้ไขไม่สำเร็จ โดยในช่วงปลายปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ามีข่าวทั้งในโทรทัศน์หน้าหนังสือพิมพ์ หรือออนไลน์นำเสนอข่าวเรื่องการคอร์รัปชัน หรือความไม่ชอบมาพากลในสังคมอย่างต่อเนื่อง
เรื่องที่สองที่น่าสนใจคือ จากผลสำรวจฯ แสดงว่านโยบายต่อต้านคอร์รัปชันของพรรคการเมือง/ นักการเมือง มีผลต่อการตัดสินใจลงคะแนนในการเลือกตั้ง 2566 ถึง 95% โดยแบ่งเป็น 67% มีผลมาก 28% มีผลปานกลาง ด้วยเหตุผลเพราะว่าประชาชนต้องการพรรคการเมือง/ นักการเมืองที่มีความชัดเจนต่อนโยบายการต่อต้านคอร์รัปชัน ปฏิบัติได้จริง และต้องการพรรคการเมือง/ นักการเมืองที่โปร่งใสและสุจริต สามารถตรวจสอบได้ ส่วนที่เหลือแบ่งเป็นมีผลน้อย 2% และไม่มีผลเลยอีก 3% เพราะจะเลือกคนที่ชื่นชอบอยู่แล้ว และคิดว่านโยบายต่อต้านคอร์รัปชันเป็นเพียงคำโฆษณา ไม่สามารถทำได้จริง
เรื่องที่สาม คือ ปัญหาคอร์รัปชันที่ส่งผลเสียและต้องการให้รัฐบาลเร่งจัดการกับปัญหาคอร์รัปชัน 4 ลำดับแรกคือ 1)ปัญหาทุจริตในระบบราชการ 23.9% 2)กระบวนการยุติธรรม 21.6% 3)เงินบริจาคแก่สถาบันศาสนา 11.8% 4)การศึกษา 11.2% ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าในช่วงรัฐบาลที่ผ่านมามีข่าวทุจริตคอร์รัปชันที่เกี่ยวข้องกับระบบราชการจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินที่คาดว่าจะเป็นเงินส่วยของกรมอุทยานฯ เรื่องเครือข่ายทุนจีนสีเทาที่จะมาทำมาหากินอย่างผิดกฎหมายไม่ได้เลย หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากเครือข่ายข้าราชการ ข้าราชการในกระบวนการยุติธรรมอย่างตำรวจ ทั้งยังมีเรื่องทุจริตเงินทอนวัดที่เป็นข่าวเสื่อมเสียในสถาบันที่ประชาชนเคารพนับถืออย่างวงการสงฆ์ แต่เรื่องนี้ก็อาจจะมองได้สองมุมคือการทุจริตคอร์รัปชันมีความรุนแรงขึ้น หรือหน่วยงานติดตามตรวจสอบ สื่อมวลชน และภาคประชาชนทำงานร่วมกันได้ดีมากขึ้นเลยสามารถเปิดโปงเรื่องทุจริตที่มีมาอยู่ก่อนแล้วได้มากขึ้น
เรื่องที่สี่คือ ในส่วนของมาตรการ/นโยบายที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันนั้น คะแนนจะค่อนข้างเกาะกลุ่มกันโดยเรียงลำดับดังนี้ 1)ต้องเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ ให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย 2)รับฟังเสียงประชาชน และสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน 3)สนับสนุนให้องค์กรตรวจสอบ เช่น ป.ป.ช. ได้ทำงานอย่างเป็นอิสระ 4)ต้องมีการกำกับ ควบคุม ถอดถอน ลงโทษหากมีการทุจริตในการทำงานของฝ่ายบริหาร ในข้อนี้แสดงให้เห็นว่าประชาชนมีการตื่นรู้และให้ความสำคัญด้านการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันในเชิงโครงสร้างมากขึ้น ซึ่งอาจจะถึงเวลาที่แต่ละพรรคต้องมีนโยบายว่าจะเปิดเผยชุดข้อมูลอะไรในรูปแบบไหน เพื่อไม่ให้ประชาชนรู้สึกว่าเรื่องที่บอกว่าเปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้นนั้นเป็นแค่เพียงลมปากหวานหู มีข้อสังเกตอีกว่าจากผลสำรวจฯ ไม่มีข้อไหนที่ประชาชนเรียกร้องให้แก้ปัญหาด้วยการเอาพระมาเทศน์หรือจับข้าราชการไปนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมนะครับ
เรื่องที่ห้า ที่น่าสนใจคือ จากผลสำรวจฯ ประชาชนถึง 81.1% เห็นด้วยหากหน่วยงานราชการนำระบบ e-services มาใช้ในการบริหารจัดการทุกขั้นตอนเช่น การขออนุมัติ การขออนุญาต การประมูล การจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อให้เกิดความโปร่งใส โดยให้เหตุผลว่า เป็นการสร้างความสะดวก รวดเร็ว เข้าถึงและตรวจสอบข้อมูลการดำเนินงานของรัฐได้ง่ายขึ้น แหม่ ประชาชนเขาไกด์มาให้ซะขนาดนี้แล้ว เหลือท่านผู้จะเข้าสู่อำนาจทั้งหลายไปสานฝันของพี่น้องประชาชนต่อเท่านั้นเอง
สุดท้ายนี้ จะฝั่งอนุรักษ์นิยมหรือหัวก้าวหน้าถ้ายังไม่มีวิธีจัดการกับคอร์รัปชันแล้วได้รับเลือกเข้าไป ผมคาดเดาเลยว่านอกจากท่านจะทำนโยบายของท่านไม่ได้ผลตามที่ควรจะเป็นแล้ว รัฐบาลในสมัยของท่านจะมีเรื่องด่างพร้อย ของแบบนี้ถ้าไม่มีแผนป้องกันหรือแก้ปัญหาเตรียมไว้ ปัญหาคอร์รัปชันนั้นก็รอเกิดแน่นอน ถึงเวลาหรือยังครับที่พวกเราประชาชนจะได้ทราบนโยบายต้านโกงของท่านและพรรคของท่าน ที่สำคัญนโยบายไหนออกมาแบบพูดลอยๆ ไร้เดียงสา ทำไม่ได้จริง ประชาชนเขาดูออกนะครับ

เปิดใจมรสุมชีวิต! อาจารย์อดัม เล่าทุกอย่างหลังชีวิตพลิกผันครั้งใหญ่
ศึก‘เนิน 350’ สะท้อน‘ทหาร’สูญเสียชีวิต ‘นักการเมือง’สูญเสียน้ำลาย
'กล้าธรรม'สุดคึกคัก! เปิดตัวผู้สมัคร สส.จังหวัดชายแดนภาคใต้
เตรียมรับศพ'จ่าเริง' น้องชายสุดภูมิใจ พี่ชายสละชีพเพื่อแผ่นดิน
ลุคนี้เต็มสิบ! 'แจ็คกี้ ชาเคอลีน'ปล่อยช็อตเซ็กซี่ ทำโซเชียลฮือฮา

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี