นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ หรือ BBL กล่าวในหัวข้อ “Economic Turbulence 2022 เศรษฐกิจ วิกฤตซ้อนวิกฤตต้องรับมืออย่างไร” ระหว่างการอบรมโครงการพัฒนาศักยภาพผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจระดับสูง (พศส.) ปี 2565 Next chapter for wealth : เปิดโลกสร้างความมั่งคั่งสู่ความมั่นคงจัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงเทพ และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยว่าถึงแม้สถานการณ์โควิด-19 จะคลี่คลายลงแต่เศรษฐกิจโลก และไทยยังคงเผชิญความเสี่ยงหลายด้าน ถือเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤตที่แต่ละประเทศต้องรับมือ ได้แก่ วิกฤตความขัดแย้งระหว่างประเทศ วิกฤตราคาพลังงานและอาหารโลก ความปั่นป่วนของตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก
ขณะที่การเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อสู้กับเงินเฟ้อส่งผลให้ธนาคารกลางหลายประเทศต้องขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นจนเป็นความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาเศรษฐกิจถดถอย ตามมาทั้งในสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ รวมถึงความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตในประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่ และปัญหาของเศรษฐกิจจีนที่มีสัญญาณการชะลอตัว วิกฤตเศรษฐกิจในระดับโลกที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยชัดเจนใน 1-2 ปีข้างหน้าโดยเฉพาะภาคการส่งออกที่จะชะลอตัวลงจากเดิมที่เคยขยายตัว 20% ในปี 2564
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยคาดว่าปีนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านคน ซึ่งจะสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยภาพรวมเนื่องจากมีสัดส่วนประมาณ 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)
เมื่อการท่องเที่ยวฟื้นตัวและส่งผลดีต่อเศรษฐกิจภาพรวมจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่คาดว่าปีนี้จะทยอยปรับขึ้นครั้งละ 0.25% เป็นจำนวน 3 ครั้ง รวมแล้วคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น 0.75% ภายในสิ้นปีนี้ ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายปรับจาก 0.5% ในปัจจุบันเป็น 1.25% ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อช่วยแก้ปัญหาเงินเฟ้อ และชะลอการลดลงของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ลดลงจากระดับ 2.6แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ มาสู่ระดับ 2.15 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือลดลง 4.5 หมื่นล้านบาท ในช่วงที่ผ่านมา
ในส่วนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลงจากระดับสูงสุดที่เคยขึ้นไปถึง 130-140ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลมาอยู่ในระดับ 90-100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ช่วยให้การต่อสู้กับเงินเฟ้อของเฟดและธนาคารกลางทั่วโลกง่ายขึ้น
“วิกฤตซ้อนวิกฤตรอบนี้จะกินเวลา 2 ปี และมีช่วงเวลาการเผชิญกับวิกฤตรวมทั้งต่อสู้กับวิกฤตเศรษฐกิจแบ่งเป็น 4 ช่วง ได้แก่ ช่วงแรกที่ตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงปรับฐานที่รุนแรง ช่วงที่สองคือการที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสู้กับเงินเฟ้อ ช่วงที่สามเป็นช่วงที่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และเกิดวิกฤตในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่หลายประเทศ และสี่คือช่วงที่เฟด และธนาคารกลางประเทศต่างๆ ออกมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่
สำหรับโอกาสของประเทศไทยในช่วงเวลานี้ภาครัฐจะสนับสนุนการลงทุนในหลายด้านเพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับประเทศ เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์-มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน ระบบโลจิสติกส์สมัยใหม่ ภาคเกษตรและอาหารแห่งอนาคต อุตสาหกรรมปุ๋ยเพื่อทดแทนการนำเข้า เป็นต้น ส่วนในแง่ของประชาชน หรือนักลงทุนบุคคลทั่วไปต้องติดตามข่าวสารและประเมินสถานการณ์แต่ละช่วงของวิกฤต หากประเมินถูกต้องก็สามารถที่จะเก็บออมเงินสดบางส่วนไว้เพื่อรอการลงทุนในรอบใหม่ภายหลังจากที่วิกฤตต่างๆ เริ่มคลี่คลาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี