nn รายงานของกรมการค้าภายใน ชี้ว่าราคาเนื้อหมูและเนื้อไก่ ปัจจุบันปรับตัวลดลงมาบ้างแล้ว และอยู่ในสถานการณ์ที่ทรงตัว...ซึ่งกรมการค้าภายในมักจะบอกเสมอว่าเป็นผลมาจากการที่กรมได้หารือกับผู้ประกอบการและผู้ลิตรายใหญ่อย่างต่อเนื่องหาทางออกร่วมกันในการกำหนดราคาสินค้าให้สอดคล้องกับราคาต้นทุนและช่วยลดค่าครองชีพของประชาชน และหลังจากนี้ราคาเนื้อหมูและเนื้อไก่จะทยอยปรับราคาลดลงอีก...ไม่รู้ที่กรมการค้าภายในสื่อสารออกมานั้น...ชัวร์หรือไม่?? หรือแท้จริงแล้ว...ควรยกความดีให้กับกลไกตลาดที่ปรับสมดุลราคาระหว่างความต้องการกับการผลิต….แต่ที่แน่ๆๆ...ผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่สามารถตอบแทนเกษตรกรรายเล็กได้ จริงอยู่ว่ารายใหญ่มีต้นทุนที่แข่งขันได้และมีการบริหารจัดการที่ดี... หากรายเล็กชีวิตต้องเดินต่อไป ที่สำคัญหมูรอบใหม่เพิ่งจะนำเข้าเลี้ยงได้ไม่นาน ก็เรียกรายใหญ่มาหารือเพื่อดึงราคาให้ต่ำลง คือ ความร่วมมือที่เป็นไปได้ คำถามสำคัญคือรายเล็กจะอยู่ได้ไหมถ้าต้องขายขาดทุน...แล้วจะมีมาตรการช่วยเหลือปัจจัยการผลิตหรืองบประมาณสนับสนุนให้เท่าไร???
ขอตั้งคำถาม ว่า อะไรคือราคาที่เป็นธรรมสำหรับเกษตรกรและผู้บริโภค หลายคนอาจกังขา...ผู้บริโภคคือคนส่วนใหญ่ของประเทศต้องรักษาไว้ ขณะนี้เกษตรกรเป็นคนกลุ่มน้อยแต่สวมหมวก 2 ใบ ในฐานะผู้บริโภคและผู้ผลิตที่แบกทั้งภาระค่าครองชีพและต้นทุนวัตถุดิบสูงไปพร้อมกัน เราควรสนับสนุนเกษตรกรหรือผู้บริโภค เลือกใครดี???
คำถามต่อเนื่อง คือ มาตรการควบคุมหรือตรึงราคา ช่วยแก้ปัญหาให้ภาคประชาชนได้จริงหรือ??? หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ เพราะทุกคนคือประชาชนหลักเศรษฐศาสตร์พื้นฐานสำคัญ คือ กลไกตลาด ทำงานตามอุปสงค์ (Demand) และ อุปทาน (Supply) ที่วันนี้ที่บอกว่าคุมราคาอยู่ ตรึงราคาได้ แต่สินค้าหลายรายการปรับขึ้นไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว เพราะการตรวจตลาดเพ่งเล็งสินค้าที่อยู่ในบัญชีควบคุมเป็นหลัก ตกหนักที่คนกลุ่มนี้ ทั้งที่รัฐผ่านประสบการณ์มาก็มาก เมื่อไม่ให้ขึ้นก็ปรับลดขนาดลง หนักเข้าต้องกักตุนเพราะขายก็ขาดทุนเพื่อ...เห็นอนาคตอยู่ตรงหน้า
ช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา ได้อ่านรายงานข่าวของสำนักหนึ่งที่อ้างถึง รศ.ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้ให้แนวคิดที่เป็นเหตุเป็นผลตามหลักวิชาการ ไว้อย่างน่าสนใจและเกี่ยวข้องกับความสำคัญของกลไกตลาด ว่า รัฐบาลควรเลิกคุมราคาอาหาร เพราะเป็นการทำลายแรงจูงใจของเกษตรกรและผู้ผลิตอาหารในการขยายการผลิต จำเป็นต้องท่องสูตร “ราคาแพงดีกว่าขาดตลาด” เพราะราคาสินค้าแพง เกษตรกรจะมีแรงจูงใจเพิ่มการผลิตอย่างรวดเร็วและราคาสินค้าก็จะลดลงเองตามธรรมชาติเมื่อผลผลิตเพิ่มขึ้น หากรัฐบาลยิ่งควบคุมราคาการผลิต เกษตรกรก็จะไม่มีแรงจูงใจเพราะทำแล้วไม่ได้กำไรและหยุดการผลิตในที่สุด ซึ่งสินค้าอุปโภคก็ไม่แตกต่างกัน...
ล่าสุด ผู้ผลิตไข่ไก่ประกาศราคาแนะนำไข่คละหน้าฟาร์มจาก 3.40 บาท/ฟองเป็น 3.50 บาท/ฟอง มีผลตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2565 ซึ่งเป็นการปรับเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุน ปริมาณผลผลิต และราคาอาหารสัตว์ที่ปรับขึ้น กลไกตลาดเริ่มดีขึ้นกำลังซื้อเริ่มกลับมา แต่ยังไม่มาก แต่ครั้งนี้ ผู้บริโภครับรู้และเข้าใจถึงภาคต้นทุนวัตถุดิบของเกษตรกรมากขึ้น และยืนยันที่จะกินเมนูไข่ต่อไป ขณะที่กรมการค้าภายใน ระบุว่า ราคาดังกล่าวเป็นราคาที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง และเป็นการขึ้นตามกลไกตลาด เนื่องจากปริมาณไข่ในระบบปรับลดลง หากปรับราคาขึ้นไปแล้ว ขายไม่ได้ ก็จะปรับราคาลงมาเอง หากกำลังซื้อยังดี แต่ปริมาณไข่มีน้อย อาจปรับราคาเพิ่มขึ้นตามกลไกตลาด
ถ้าคำตอบของคำถามคาใจ คือ กลไกตลาด ก็อยากให้เครื่องมือนี้ทำงานให้สมบูรณ์สักครั้ง โดยรัฐเป็นกรรมการอยู่ในสนามพร้อมเป่านกหวีด หากธรรมชาติของกลไกตลาดทำงานผิดพลาด ก็สามารถยกเลิกกลับไปใช้มาตรการคุมเข้มได้ แต่ถ้าราคาสินค้าปรับขึ้น-ลง ตามกลไกต้องปล่อยไหลให้ฟันเฟืองทำงานให้ครบลูป ก็น่าจะนำมาปฏิบัติได้...ขอเชียร์กลไกตลาด 100%
l พงษ์พันธุ์ l