นายวิชานัน นิวาตจินดา รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของไทย(เงินเฟ้อทั่วไป) เดือนมิถุนายน 2566 เท่ากับ 107.83 สูงขึ้น 0.23 % เทียบเดือนเดียวกันของปีก่อน และสูงขึ้น 0.53% จากเดือนพฤษภาคม 2566 ซึ่งเป็นอัตราเงินเฟ้อต่ำสุดในรอบ 22 เดือน นับจากเดือนสิงหาคม 2564 สาเหตุที่ทำให้เงินฟ้ออ่อนลง ได้แก่ ราคาเชื้อเพลิงปีนี้ต่ำกว่าปีก่อน ราคาเนื้อสัตว์อ่อนตัวลงโดยเฉพาะเนื้อหมู และฐานเงินเฟ้อปีก่อนสูง ซึ่งเป็น 3 ปัจจัยกดเงินเฟ้อให้ลดลง อย่างไรก็ตามเงินเฟ้อมิถุนายนปีนี้ที่ยังสูง มาจาก หมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น 3.37% หมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มลดลง 1.88% โดยสินค้าที่มีราคาสูงขึ้น 334 รายการ ลดลง 59 รายการ และไม่เปลี่ยนแปลง 37 รายการ ขณะที่ทั่วไปในไตรมาส 2/2566 สูงขึ้น 1.14% จากหมวดอาหารสูง 3.96% หมวดที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ติดลบ0.79% ทำให้ครึ่งปีแรก 2566 เงินเฟ้อสูงขึ้น 2.49% จากหมวดอาหาร สูง 5.07% และไม่ใช่อาหาร สูง 0.72%
ทั้งนี้ แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ ไตรมาส 3 มีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ค่อนข้างต่ำ เนื่องจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงยังมีแนวโน้มทรงตัวและเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ และอยู่ระดับต่ำเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนรวมทั้ง ราคาอาหารบางชนิด โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ ที่คาดว่าจะลดลงตามผลผลิตที่เพิ่มขึ้นประกอบกับฐานราคาในปีก่อนอยู่ ในระดับค่อนข้างสูง ขณะที่ราคาสินค้าบางชนิดโดยเฉพาะผักและผลไม้ ไข่และผลิตภัณฑ์นมและอาหารสำเร็จรูป มีแนวโน้มสูงขึ้นจากอิทธิพลของภัยแล้ง รวมทั้งเศรษฐกิจไทยยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ความขัดแย้งของโลก แนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในหลายภูมิภาค และมาตรการรัฐต่างๆ รวมทั้งภัยแล้งที่อาจรุนแรงกว่าที่คาด ยังเป็นปัจจัยที่อาจทำให้เงินเฟ้อไม่เป็นไปตามที่คาดได้
นายวิชานัน กล่าวอีกว่า ดูทิศทางปัจจัยที่มีผลต่อเงินเฟ้อ หลักๆ คือ ราคาเชื้อเพลิง ราคาผักสดเนื้อหมู และฐานเงินเฟ้อปีก่อนที่สูงมากในครึ่งปีหลัง ทำให้ทิศทางเงินเฟ้อครึ่งปีหลัง 2566 จะยังสูงในอัตราต่ำแต่เดิมนั้นคาดว่าบางเดือนจะติดลบ แต่ด้วยค่าเงินบาทอ่อนค่าและปรากฏการณ์เอลนีโญมีผลกระทบต่อผลผลิตและราคาอาจสูงจึงมองว่าเงินเฟ้อน่าจะยังเป็นบวกแต่ในอัตราที่ไม่เท่าปีก่อน
“กระทรวงพาณิชย์ ปรับลดอัตราเงินเฟ้อทั้งปี 2566 จากเดิม 1.7-2.7% เป็น 1-2% โดยค่ากลางอยู่ที่ 1.5% จากเงินเฟ้อไตรมาสแรกสูง 5% ไตรมาส2 สูง 1.14% และคาดไตรมาส 3 สูง 0.77% และไตรมาส 4 สูง 0.62% บนสมมุติฐานจีดีพี 2.7-3.7% ราคาน้ำมันดิบดูไบ 71-81 เหรียญสหรัฐค่าเงินบาท 33.50-35.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ” นายวิชานันกล่าว
สำหรับอัตราเงินเฟ้อของไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ณ ข้อมูลล่าสุดเดือนพฤษภาคม 2566 พบว่า อัตราเงินเฟ้อในหลายประเทศทั่วโลกมีแนวโน้มชะลอตัว โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของไทย อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำและต่ำที่สุดในอาเซียนจาก 7 ประเทศที่ประกาศตัวเลข (สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม)
ข้อมูลในรายละเอียดของเงินเฟ้อเดือนมิถุนายน พบว่าหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น 3.37% ตามการสูงขึ้นของราคาสินค้าสำคัญ อาทิ ผักและผลไม้สด ไข่ไก่ และไข่เป็ด เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้ปริมาณผลผลิตมีไม่มาก ประกอบกับความต้องการเพิ่มขึ้นจากการเปิดภาคเรียน และภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว นอกจากนี้ อาหารสำเร็จรูป) ราคาสูงขึ้นตามต้นทุนการผลิต รวมถึงผลิตภัณฑ์นม และข้าวสาร ราคาเปลี่ยนแปลงตามการจัดโปรโมชั่น หมวดอื่นๆที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลง 1.88%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ตามการลดลงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นสำคัญ โดยปรับลดลงทั้งน้ำมันในกลุ่มดีเซล แก๊สโซฮอล์ และเบนซิน นอกจากนี้ เครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้ง เครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ และเครื่องซักผ้า ราคายังคงลดลงต่อเนื่อง รวมถึง เครื่องรับโทรศัพท์มือถือ ค่าของใช้ส่วนบุคคลและสิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด (ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบำรุงผิว น้ำยาระงับกลิ่นกาย ผงซักฟอก น้ำยารีดผ้า) หน้ากากอนามัย และค่าสมาชิกเคเบิลทีวี ราคาปรับลดลง ส่วนสินค้าที่ราคาสูงขึ้น อาทิ ค่ากระแสไฟฟ้า เนื่องจากสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ รวมถึง ก๊าซหุงต้ม ค่าเช่าบ้านค่าโดยสารสาธารณะ (เครื่องบิน จักรยานยนต์รับจ้าง รถเมล์เล็ก/สองแถว) ค่าการศึกษาค่าแต่งผมชายและสตรี