**นับตั้งแต่ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เมื่อเดือนกันยายน 2567 หนึ่งในนโยบายที่ได้ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมจนได้รับเสียงสนับสนุนชื่นชมเป็นอย่างมาก คือ การจัดการกับสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น สายไฟ อุปกรณ์ไฟฟ้า และเหล็กเส้นก่อสร้าง อย่างเด็ดขาด หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว และสำนักงานแห่งใหม่ที่อยู่ระกว่างการก่อสร้าง ของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน( สตง.) พังถล่มลงมาในเดือนมีนาคม 2568 มีการเก็บตัวอย่างเหล็กเส้นจากซากตึกจำนวนหนึ่งไปทดสอบ แล้วมีรายงานว่า ผลการทดสอบส่วนใหญ่ประมาณ 90% ผ่านมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) แต่ก็มีอีกประมาณ 10% ไม่ผ่านมาตรฐาน มอก. ก็ยิ่งทำให้เกิดข้อสงสัยและข้อห่วงกังวลเพิ่มขึ้นอีก ในประเด็นเรื่องเหล็กเส้นไม่ได้มาตรฐานว่าได้กระจายไปอยู่ที่ใด มากน้อยเท่าใด
การเปิดเผยผลการสอบสวนตึก สตง. ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี ที่อาจจะช่วยให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพการณ์ปัจจุบันของคุณภาพเหล็กเส้น ซึ่งผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเหล็กได้ประมวลความเห็นทางวิชาการ และความเห็นของผู้รู้ โดยมุ่งไปที่ 2 เรื่อง คือ เรื่องแรก คุณภาพเหล็กเส้นที่ผลิตและจำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน มั่นใจได้หรือไม่ว่าได้มาตรฐาน มอก. ทั้งหมดที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาดปัจจุบัน เรื่องที่สอง จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นแล้วมีตึกถล่ม เหล็กมีปัญหาหรือไม่
เริ่มจากเรื่องแรก คุณภาพของเหล็กเส้นที่ผลิตและจำหน่ายในปัจจุบัน เป็นไปตาม มอก.อย่างมั่นใจได้หรือไม่…ความเห็นคือ ยังมั่นใจไม่ได้ทั้งหมด เนื่องจากการที่ทีมสุดซอย ตรวจพบเหล็กเส้นที่ตก มอก. อยู่เป็นระยะๆ ซึ่งประเด็นนี้ สาเหตุหลักคือ ข้อจำกัดของกระบวนการผลิตด้วยเตา IF (IF Induction Furnace ) ที่ต้องใช้ความพิถีพิถันอย่างมากในการคัดเลือกวัตถุดิบเศษเหล็กที่มีส่วนประกอบทางเคมีที่เหมาะสม มีความสะอาดไม่มีสารมลทินและสิ่งเจือปนที่มากเกินไป เนื่องจากกระบวนการ IF มีข้อจำกัดในการกำจัดสารมลทิน เช่น ฟอสฟอรัส กำมะถัน ตลอดจนธาตุที่ต้องควบคุมปริมาณให้ได้ตาม มอก. เช่น ธาตุโบรอน
นอกจากนี้กระบวนการในการทำให้เหล็กเส้นมีความแข็งแรงตามมาตรฐาน ที่ใช้กันอยู่มี 2 วิธีหลักๆ วิธีแรกคือ การทำให้เหล็กที่รีดออกมาเย็นตัวอย่างรวดเร็ว เรียกว่า เหล็ก T-Tempcore กับวิธีที่สองคือ การเติมธาตุผสม หรืออัลลอยเล็กน้อย (low alloy/micro-alloy) หรือเรียกว่า เหล็ก Non-T ซึ่งการผลิตเหล็ก T-Tempcore ต้องมีการบำรุงรักษาเครื่องจักรและกระบวนการผลิตให้สามารถควบคุมส่วนประกอบทางเคมี การควบคุมการรีดและอัตราการเย็นตัวของเหล็กเส้นที่แม่นยำ มิฉะนั้นจะไม่สามารถผลิตเหล็กเส้นที่มีคุณสมบัติตาม มอก. ได้อย่างสม่ำเสมอ ในเรื่องนี้จึงต้องสนับสนุนความพยายามของกระทรวงอุตสาหกรรมต่อไปในการกำจัดเหล็กเส้นที่ไม่ได้มาตรฐาน เพื่อให้มั่นใจได้ 100% ว่าเหล็กเส้นที่ขายในท้องตลาดมีคุณภาพเป็นไปตาม มอก. เพื่อปกป้องผู้บริโภคให้ได้ใช้สินค้าที่ได้มาตรฐานเพื่อความปลอดภัย
สำหรับเรื่องที่สอง จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นแล้วมีตึกถล่ม คำถามคือ เหล็กมีปัญหาหรือไม่…หลังจากการเปิดเผยผลสอบตึก สตง ถล่ม มีข้อความแถลงส่วนหนึ่งที่ว่า “ในเรื่องของวัสดุต่างๆ ทั้ง เหล็กและคอนกรีต เป็นวัสดุปกติที่ได้มาตรฐานของทั่วไป แต่การนำมาใช้ในโครงการนี้ พบปัญหาในส่วนของคอนกรีตที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งเป็นปัญหาเฉพาะของโครงการนี้เท่านั้น”...ความเห็นของกลุ่มเหล็ก...มองว่า คำแถลงในส่วนนี้ ยังคลุมเครือ เช่น ทราบได้อย่างไรว่าเหล็กเส้นปริมาณมากมายที่ใช้งานทั้งหมดมีคุณสมบัติได้มาตรฐาน หรือทราบได้อย่างไรว่าเป็นปัญหาเฉพาะของโครงการนี้เท่านั้น
อีกทั้งผลการทดสอบเหล็กจำนวนหนึ่งที่เก็บตัวอย่างจากซากตึก สตง ที่มีรายงานว่า “ผลการทดสอบส่วนใหญ่ประมาณ 90% ผ่านมาตรฐาน” แล้วได้มีการพิจารณาถึงผลกระทบที่เกิดจากเหล็กส่วนที่ไม่ผ่านมาตรฐานหรือไม่อย่างไร ก็คงยังเป็นความคลุมเครือ เช่น หากมีสมมุติฐานว่า เหล็กไม่มีปัญหา เพราะเหล็ก “ส่วนใหญ่” ทดสอบแล้วผ่าน มอก. ประกอบกับการออกแบบมีการเผื่อค่าความปลอดภัย หรือ safety factor ไว้ แล้วลงความเห็นว่า เหล็กไม่มีปัญหา ประเด็นที่คลุมเครือคือ เกณฑ์การยอมรับได้ของคำว่า “ส่วนใหญ่” คืออะไร
ประการสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ มอก. เหล็กเส้นในปัจจุบัน ในส่วนของคุณสมบัติทางกล โดยหลักคือ การกำหนดเพียงค่าขั้นต่ำของความต้านแรงดึง ความต้านแรงดึงที่จุดคราก และค่าความยืด ซึ่งการกำหนดค่าขั้นต่ำแบบนี้ อาจจะไม่เพียงพอต่อการออกแบบใช้งานกรณีแผ่นดินไหว เนื่องจากยังมีคุณสมบัติอื่นๆที่ต้องพิจารณา เช่น ถ้าความต้านแรงดึงที่จุดคราก ผ่านมาตรฐานก็จริง แต่มีค่าสูงมากเกินไปจนเข้าใกล้ค่าความต้านแรงดึง(ตอนเหล็กขาดออกจากกัน) อาจจะทำให้เหล็กขาดคุณสมบัติการยืดตัวที่เหมาะสมในสถานการณ์ที่เกิดแผ่นดินไหว
อย่างไรก็ดีหากมีการเปิดเผยรายละเอียดของการทดสอบเหล็กและวัสดุในรายงานผลสอบสวน ก็อาจจะช่วยสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนมากขึ้นได้ และถือเป็นโอกาสที่สำคัญ เนื่องจากขณะนี้ มอก.เหล็กเส้น อยู่ในระหว่างการทบทวนเพื่อปรับปรุงมาตรฐานโดย สมอ. จึงควรพิจารณาปรับปรุงยกระดับ มอก.เหล็กเส้น ให้มีการกำหนดคุณสมบัติของเหล็กเส้น รวมถึงข้อแนะนำในการใช้งานในเงื่อนไขที่สำคัญๆ เช่น ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงแผ่นดินไหว โดยการศึกษาและอ้างอิงจากมาตรฐานของประเทศที่มีการกำหนดคุณสมบัติของเหล็กเพื่อใช้งานในเงื่อนไขต่างๆ เช่น มาตรฐานเหล็กเส้นของอเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จีน เป็นต้น ตัวอย่างเช่น ประเทศจีนกำหนดว่าเหล็กเส้นต้องผลิตจากเตาชนิด converter หรือจากเตา EAF เท่านั้น หรือบางประเทศกำหนดมาตรฐานเหล็ก low alloy steel ที่ยืดตัวได้สูง เหมาะกับการใช้งานบริเวณที่มีแผ่นดินไหวบ่อย
โดยสรุปแล้ว สิ่งที่ควรต้องจัดการให้เกิดขึ้นในขณะนี้คือ ต้องทำให้เหล็กเส้นทุกเส้นที่นำไปใช้งานได้มาตรฐานตาม มอก.อย่างมั่นใจได้ 100% และเดินหน้าปรับปรุง มอก. เหล็กเส้น ให้ประกอบด้วย ชั้นคุณภาพ ตลอดจนคุณสมบัติต่างๆ ด้วยองค์ความรู้ ที่จะทำให้สามารถนำไปใช้งานได้อย่างเหมาะสมในแต่ละเงื่อนไขของการใช้งาน
สุดท้าย ต้องรอดูรายงานผลการสอบสวนว่าจะออกมาให้ความกระจ่างได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลและข้อเท็จจริงจากการสอบสวนที่นำมาสนับสนุนข้อสรุปที่ว่า “วัสดุต่างๆ ทั้ง เหล็กและคอนกรีต เป็นวัสดุปกติที่ได้มาตรฐาน” และเหล็กเส้นที่ตึก สตง ไม่มีปัญหาจริงหรือไม่ ????
**กระบองเพชร**
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี