รายงานพิเศษ : ถึงเวลาที่ SME ไทยต้องเร่งปรับตัวเข้าสู่กระแสธุรกิจสีเขียว

รายงานพิเศษ : ถึงเวลาที่ SME ไทยต้องเร่งปรับตัวเข้าสู่กระแสธุรกิจสีเขียว

วันจันทร์ ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2568, 07.30 น.

**วันนี้ถึงเวลาที่ต้องยกระดับธุรกิจ SMEs ด้วยการประยุกต์ใช้โมเดล “เศรษฐกิจ BCG” ที่มุ่งยกระดับธุรกิจ SME ให้มีขีดความสามารถการแข่งขัน ก้าวทันต่อการค้าโลกที่ขยับถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ที่เป็นแรงกดดันให้กับผู้ประกอบการต้องปรับตัว นำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ภายใต้หลัก BCG บนความท้าทายในตลาดโลก กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIPROM) ได้ออกนโยบายให้ SMEs ซึ่งเป็นกลไกหลักของระบบการผลิตของประเทศต้องเตรียมความพร้อม รับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยการเพิ่มผลิตภาพ และสร้างมูลค่าเพิ่ม ตามนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม

นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (DIPROM) สะท้อนแนวทางการส่งเสริม SMEs ว่า DIPROM ได้ให้ความสำคัญ และกำหนดเป้าหมายให้ SMEs ไทยเร่งปรับตัวก้าวทันการค้าโลกยุคใหม่ โดยเฉพาะการยกระดับสู่เศรษฐกิจสีเขียว ควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและการดูแลสิ่งแวดล้อม เห็นได้จากผลงานผู้ประกอบการที่เกิดจากการเข้าร่วมกับ DIPROM ที่ได้ผ่านการนำนวัตกรรมและแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ และสามารถผลิตเป็นผลิตภัณฑ์รักษ์โลก ที่มีการนำความคิดสร้างสรรค์ การออกแบบ ตัวผลิตภัณฑ์ จนถึงกระบวนการผลิต เพื่อลดการปลดปล่อยคาร์บอน และการมีส่วนร่วมกับสังคม


เมื่อเร็วๆนี้ DIPROM ได้เปิดเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์และถ่ายทอดองค์ความรู้ ในกิจกรรมแสดงผลงาน และเวทีเสวนา “SMEs BCG ดีพร้อม” ภายใต้โครงการยกระดับธุรกิจ SME ด้วยการประยุกต์ใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อให้ผู้ประกอบการนำไปปรับใช้ ต่อยอดการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดการปล่อยคาร์บอน และพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง ที่มีมาตรฐาน และฉลากสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เพื่อสร้างการเติบโตที่สมดุล ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการเชื่อมโยงเครือข่าย ความร่วมมือ กระตุ้นการลงทุนในกิจกรรมทางเศรษฐกิจสีเขียวของ SMEs ซึ่งเป็นภาคการผลิตที่สำคัญของไทย ที่มีความตื่นตัวในการพัฒนาธุรกิจจนประสบความสำเร็จ และเป็นต้นแบบ ถ่ายทอดให้กับ SMEs รายอื่นๆ สร้างโอกาสเติบโตทางธุรกิจที่ยั่งยืนต่อไป

เวทีครั้งนี้ ยังได้จุดประกายผ่านเรื่องเล่าของผู้ประกอบการ 3 ราย ที่มีความตั้งใจจริงและมองเห็นโอกาสในการพัฒนาธุรกิจ และปรับใช้ในการต่อยอดระบบการผลิตและการบริหารงาน ภายใต้โมเดล BCG ซึ่งนำไปสู่การสร้างธุรกิจใหม่ๆที่เติบโตอย่างสมดุล ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

ด้าน นางสาวจิทานันท์ สิทธิอำไพ ผู้อำนวยการบริหาร บริษัท แบ็กส์ แอนด์ โกล์ฟ จำกัด เล่าว่า จุดเริ่มต้นของบริษัทมาจากการเป็นโรงงาน OEM ผลิตพลาสติกในประเทศไทย แปรรูปเม็ดพลาสติกทั้งแบบทั่วไปและย่อยสลายให้ออกมาเป็นฟิล์ม ก่อนจะถูกตัดและซีลเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลาย เช่น ถุงมือ ผ้ากันเปื้อน ปลอกแขน และอุปกรณ์ป้องกันสำหรับอุตสาหกรรมอาหารและการแพทย์ จากนั้นได้ขยายการผลิตไปสู่สินค้าที่หลากหลายมากขึ้น เช่น นำเศษพลาสติก PE ที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ มาอัพไซเคิลเป็น “เก้าอี้ทรงเต่า” ผลงานที่ไม่เพียงแก้โจทย์ปัญหาขยะพลาสติก แต่ยังสร้างเรื่องเล่าที่ทรงพลังให้กับแบรนด์ และทำให้ธุรกิจสามารถสื่อสารความยั่งยืนกับตลาดได้อย่างจริงจัง

ด้าน นายเฉลิมพล อารีย์เกื้อตระกูล กรรมการ บริษัท อารีเฮิร์บ จำกัด เล่าว่า อารีเฮิร์บทำงานร่วมกับชุมชนในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้สมุนไพรไทยไม่เพียงแค่เป็นผลิตภัณฑ์ แต่เป็นช่องทางสร้างรายได้และมูลค่ากลับคืนสู่ชุมชน ในการขยายธุรกิจ อารีเฮิร์บยังมองไปถึงการใช้กากจากสมุนไพร อย่างเช่น กากมะขามป้อม ไปต่อยอดการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เป็นผลิตภัณฑ์ แฮร์โทนิคบำรุงผมและหนังศรีษะ ผสมสารสกัดจากมะขามป้อม เป็นการนำวัสดุเหลือใช้จากสมุนไพรมาใช้ประโยชน์ สามารถนำภูมิปัญญาและทรัพยากรท้องถิ่นไปสร้างรายได้ให้กับชุมชน

ด้าน นายวีรวุฒิ มาลาบุปผา กรรมการผู้จัดการ บริษัท แกรนดี้อินเตอร์เทรด จำกัด เล่าว่า แกรนดี้อินเตอร์เทรด ภายใต้แบรนด์ “อีโคสุพรีม” (Eco Supreme) ผู้ผลิตเสื้อผ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เกิดจากแนวคิดที่ว่า แฟชั่นไม่จำเป็นต้องทำลายโลก สามารถนำวัตถุดิบที่ดูเหมือนขยะ อย่างขวดพลาสติก แหอวนเก่า วัสดุจากอ้อย ถูกนำมาต่อยอดกลายเป็นเส้นใยและผ้าที่ใช้ผลิตเป็นเสื้อผ้าแฟชั่นที่ทันสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้โครงการ “ยกระดับธุรกิจ SMEs ด้วยการประยุกต์ใช้โมเดลเศรษฐกิจ BCG” ไม่ได้หยุดแค่เรื่องเล่า แต่ยังสร้างผลลัพธ์เชิงรูปธรรม SMEs ที่เข้าร่วม สามารถลดต้นทุนจากการปรับกระบวนการผลิต การขนส่ง และการใช้พลังงานสะอาดหรือพลังงานทดแทน ขณะเดียวกันยังสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง รวมแล้ว โครงการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 1,385 ล้านบาท และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า 120,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ 12 ล้านต้น บนพื้นที่กว่า 120,000 ไร่)**

**อนันตเดช พงษ์พันธุ์**

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top