นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่าในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) ของไทยมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่ารวม 44,785.52 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิ FTA 79.64% เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ร้อยละ 10.22 โดยเป็นการส่งออกไปยังอาเซียนภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) สูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง มูลค่า 15,732.60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 67.69% อันดับสองเป็นการใช้สิทธิฯ ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) มูลค่า 12,618.47 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 92.59% อันดับสาม ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) มูลค่า 5,530.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 75.35% อันดับสี่ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) มูลค่า 3,180.87 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 77.24% และอันดับห้า ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) มูลค่า 2,751.51 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 57.58% สินค้าที่มีการขอใช้สิทธิ FTA สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ทุเรียนสด ยานยนต์สำหรับขนส่งของ ยางสังเคราะห์และแฟกติชที่ได้จากน้ำมัน แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) และน้ำตาลที่ได้จากอ้อย ซึ่งสินค้า 5 อันดับแรกนี้ยังคงเป็นสินค้าหลักในการขับเคลื่อนการส่งออกของไทยในหลายตลาด
สำหรับสินค้าที่มีการใช้สิทธิฯ สูงในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 แบ่งเป็นสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป ได้แก่ ทุเรียนสด น้ำตาลที่ได้จากอ้อย ไก่ที่ปรุงแต่ง เนื้อของสัตว์ปีกเลี้ยงแช่เย็นจนแข็ง และผลไม้สด (ฝรั่ง มะม่วง และมังคุด) มูลค่ารวม 12,514.16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 27.94% ของมูลค่าการใช้สิทธิฯ ทั้งหมด และสินค้าอุตสาหกรรม 5 อันดับแรก ได้แก่ ยานยนต์สำหรับขนส่งของ แพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) กึ่งสำเร็จรูปหรือเป็นผง ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ และเครื่องปรับอากาศชนิดติดผนังหรือ ติดเพดาน และแพลทินัมยังไม่ได้ขึ้นรูป (อันรอต) กึ่งสำเร็จรูปหรือเป็นผงอื่น ๆ มูลค่ารวม 32,271.38 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 72.06% ของมูลค่าการใช้สิทธิฯ ทั้งหมด ทั้งนี้ กรมการค้าต่างประเทศติดตามและรวบรวมข้อมูลการใช้สิทธิภายใต้ FTA จำนวน 12 ฉบับ จากทั้งหมด 14 ฉบับที่ไทยมีอยู่ โดยยกเว้นความตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น ไทย-นิวซีแลนด์ (TNZCEP) ที่ใช้การรับรองตนเองของผู้ส่งออก(Self-Declaration) ลงบนเอกสารทางการค้า โดยไม่ผ่านกรมการค้าต่างประเทศ และความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ฮ่องกง (AHKFTA) เนื่องจากฮ่องกงเป็น Free Port มีอัตราภาษีนำเข้าที่ 0% ทุกรายการ
นางอารดาฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการติดตามการใช้สิทธิภายใต้ FTA แล้ว กรมการค้าต่างประเทศได้ติดตามการใช้สิทธิฯ สำหรับการส่งออกภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป หรือ GSP ด้วยเช่นกัน โดยปัจจุบัน ไทยได้รับสิทธิ GSP จาก 4 ประเทศ/กลุ่มประเทศ ได้แก่ โครงการ GSP
ของสวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ และกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (CIS) ซึ่งประกอบด้วย ยูเครน อาเซอร์ไบจาน ทาจิกิสถาน มอลโดวา อุซเบกิสถาน จอร์เจีย และเติร์กเมนิสถาน โดยสำหรับโครงการ GSP ของสหรัฐฯ นั้น แม้ว่าจะหมดอายุไปแล้วตั้งแต่ 31 ธันวาคม 2563 และขณะนี้รัฐสภาสหรัฐฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาร่างกฎหมายเพื่อต่ออายุโครงการดังกล่าว แต่กรมการค้าต่างประเทศได้ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการแจ้งการขอใช้สิทธิ GSP อย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ของผู้ประกอบการ เนื่องจากที่ผ่านมากฎหมายการต่ออายุ GSP จะมีบทบัญญัติการให้คืนภาษีนำเข้าย้อนหลัง เมื่อโครงการฯ ได้รับการต่ออายุ โดยในครึ่งปีแรกของปี 2568 มีมูลค่าการใช้สิทธิ GSP รวม 1,840.93 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีสัดส่วนการใช้สิทธิฯ 45.40% โดยประเทศปลายทางที่ไทยมีการส่งออกไปมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง คือ สหรัฐฯ มีมูลค่าการแจ้งขอใช้สิทธิฯ อยู่ที่ 1,711.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 47.91% สวิตเซอร์แลนด์ มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ อยู่ที่ 119.67 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 26.91% นอร์เวย์ มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ อยู่ที่ 7.99 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 46.70% และกลุ่มประเทศ CIS มีมูลค่าการใช้สิทธิฯ อยู่ที่ 1.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 8.68% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ในยุคที่การแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศเข้มข้นขึ้น การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าจาก FTA จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มแต้มต่อให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะตลาดที่มีศักยภาพสูง ทั้งในด้านขนาดเศรษฐกิจ จำนวนประชากร และความต้องการบริโภคที่หลากหลาย เช่น ตลาดอาเซียนซึ่งเป็นตลาดที่มีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์สูงที่สุดสำหรับไทย ตลาดจีนที่ยังคงเป็นตลาดอันดับหนึ่งสำหรับผลไม้ไทย โดยเฉพาะทุเรียนที่ได้รับความนิยมสูงอย่างต่อเนื่อง และตลาดอินเดียที่มีศักยภาพการบริโภคสูงจากแนวโน้มการเติบโตของประชากรกลุ่มที่มีกำลังซื้อ ทั้งสามตลาดนี้ไม่เพียงแต่เป็นคู่ค้าอันดับต้น ๆ ของไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นตลาดที่ผู้ประกอบการไทยมีการใช้สิทธิภายใต้ FTA อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่องอีกด้วย
“อีกสิ่งหนึ่งที่กรมการค้าต่างประเทศให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก คือ การผลักดันและส่งเสริมการใช้สิทธิฯ อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการจัดสัมมนาให้ความรู้ทั่วประเทศ โดยในปีงบประมาณ 2568 นี้ ได้จัดสัมมนาไปแล้วจำนวน 10 ครั้ง ครอบคลุมพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคใต้ และมีผู้ประกอบการเข้าร่วมรวมทั้งสิ้นมากกว่า 1,300 ราย และในปีงบประมาณ 2569 กรมการค้าต่างประเทศจะเดินหน้าส่งเสริมและขยายการใช้สิทธิฯ อย่างเข้มข้น ผ่านการทำงานเชิงรุก ทั้งในระดับนโยบายและพื้นที่ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ประโยชน์จาก FTA ได้อย่างเต็มศักยภาพ” นางอารดากล่าว
- 030
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี