nn ปี 2020 ราคายางพาราในตลาดโลกน่าจะยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำที่ 1.6-1.8 ดอลลาร์สหรัฐ/กิโลกรัม โดยผลผลิตยางพาราโลก และการใช้ยางพาราโลก มีแนวโน้มขยายตัวในอัตราเท่ากันที่ 2% จากปี 2019 International Rubber Study Group คาดว่าผลผลิตยางพาราโลกในปี 2020 น่าจะแตะระดับ 14.0 ล้านตัน ขยายตัว2% จากปี 2019 นับว่ายังทรงตัวอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องมา 4 ปีแล้ว จากในอดีตที่ผลผลิตอยู่ที่ประมาณ 12 ล้านตัน/ปี โดยคาดว่า ในปี 2020ประเทศผู้ผลิตยางพาราหลักของโลกทั้งไทย อินเดีย จีน และ CLMV จะยังคงมีผลผลิตเพิ่มสูงขึ้น สำหรับการใช้ยางพาราในตลาดโลกนั้น ส่วนใหญ่คือราว 70% ใช้ในอุตสาหกรรมยางล้อ ซึ่งในจำนวนนี้ ราวครึ่งหนึ่งมาจากความต้องการใช้ในจีน โดยคาดว่าในปี 2020 การใช้ยางพาราในอุตสาหกรรมยางล้อในจีนน่าจะอยู่ที่ 4.7 ล้านตัน หดตัว 2% จากปี 2019 สอดคล้องกับภาวะซบเซาของตลาดรถยนต์ในจีน จากอัตราการขยายตัวของผลผลิตยางพาราโลกที่อยู่ในระดับเดียวกับการใช้ยางพารา จึงส่งผลให้สต๊อกยางพาราโลกจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง และกดดันราคายางพาราในตลาดโลก
ส่วนราคายางพาราในประเทศ จะยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำใกล้เคียงกับปี 2019 โดยนอกจากผลกระทบจากราคาโลกที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำแล้ว ยังได้รับแรงกดดันจากผลผลิตในประเทศที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงอีกด้วยเนื้อที่กรีดยางพาราของไทยในปี 2020 มีแนวโน้มขยายตัว โดยเป็นผลมาจากการขยายพื้นที่เพาะปลูกในปี 2013 ซึ่งช่วงก่อนหน้านั้น ราคายางแผ่นดิบ และยางแผ่นรมควันชั้น 3 สูงเกินกว่า 100 บาท/กิโลกรัม ขณะที่การส่งออกยางพาราของไทยในปี 2020 จะหดตัวต่อเนื่องจากปี 2019 ตามความต้องการจากจีนที่ชะลอลงอีกทั้งค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าอย่างต่อเนื่องภาวะเศรษฐกิจจีนที่ชะลอลงจากผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนรวมถึงจีนนำเข้ายางพาราจากประเทศอื่นๆ อย่าง CLMV ทดแทนการนำเข้าจากไทย
ความท้าทายที่อุตสาหกรรมยางพาราไทยกำลังเผชิญทั้งราคาในประเทศยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงการส่งออกที่ยังพึ่งพาตลาดจีนในสัดส่วนสูง ยังต้องอาศัยการแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการลดอุปทานยางพาราที่จะออกสู่ตลาดการเพิ่มการใช้ยางพาราภายในประเทศ การขยายตลาดส่งออกยางพาราใหม่ๆ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดจีน รวมถึงการวิจัยและพัฒนาเพื่อแปรรูปยางพาราไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น
แนวทางแก้ปัญหา ได้แก่ 1) สร้างความร่วมมือกับประเทศผู้ผลิตยางพาราอื่นๆ ในการลดอุปทานที่จะออกสู่ตลาด เพื่อผลักดันให้ราคายางพาราปรับตัวสูงขึ้น ปัจจุบันภาครัฐกำหนดแผนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ 20 ปี (ปี 2017–2036) โดยตั้งเป้าหมายลดพื้นที่ปลูกยางพาราลง และมีความร่วมมือกับมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ในฐานะประเทศสมาชิกสภาไตรภาคียางพารา (International TripartiteRubber Council : ITRC) แต่ก็เป็นเพียงความร่วมมือดำเนินมาตรการลดการส่งออกยางพารา(Agreed Export Tonnage Scheme : AETS)ขณะที่ผลผลิตจากทั้ง 3 ประเทศรวมกัน ยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงยังไม่สามารถผลักดันให้ราคายางพาราปรับเพิ่มสูงขึ้นได้เท่าที่ควร ITRC จำเป็นต้องยกระดับความร่วมมือไปสู่การลดพื้นที่เพาะปลูกและผลผลิตที่จะออกสู่ตลาด
2) เพิ่มการใช้ยางพาราภายในประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในอุตสาหกรรมก่อสร้างปัจจุบัน ภาครัฐกำหนดเป้าหมายการใช้น้ำยางสดในหน่วยงานต่างๆ โดยส่วนใหญ่เป็นการนำไปใช้ทำถนน และอุปกรณ์อำนวยความปลอดภัยทางจราจร ซึ่งน่าจะมีส่วนช่วยสนับสนุนให้เกิดการใช้ผลผลิตยางพาราได้บางส่วน อย่างไรก็ดี ควรส่งเสริมให้นำยางพาราไปใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างทั้งภาครัฐและภาคเอกชนอย่างหลากหลายมากขึ้น เช่น งานวิศวกรรมแผ่นยางปูพื้น ยางแนวกันกระแทกแผ่นยางรองรถไฟ ลานอเนกประสงค์ เป็นต้น
3) ขยายตลาดส่งออกยางพาราไปยังประเทศที่มีศักยภาพใหม่ๆ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดจีนเป็นหลักโดยนอกจากในปี 2020 ผู้ส่งออกยางล้อไทยจะได้รับอานิสงส์จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ที่ช่วยหนุนการส่งออกยางล้อไทยไปสหรัฐอเมริกาแล้ว อีไอซีมองว่า อีกหนึ่งตลาดส่งออกที่มีศักยภาพและน่าสนใจ ได้แก่ ตุรกี ซึ่งนำเข้ายางพาราจากประเทศต่างๆ แตะระดับ 200,000 ตัน/ปี
4) แปรรูปยางพาราไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนด้านราคาจากการจำหน่ายสินค้าในรูปแบบโภคภัณฑ์ทางการเกษตร (Agriculture Commodity) ทั้งนี้ปัจจุบันไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางพาราในรูปแบบสินค้ากลางน้ำ ได้แก่ ยางแผ่น ยางแท่ง และน้ำยางข้น ขณะที่การแปรรูปไปสู่ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ ยังไม่มีความหลากหลายเท่าที่ควรโดยส่วนใหญ่เป็นการนำไปผลิตยางล้อ ซึ่งต้องเผชิญกับความท้าทายจากทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์โลกที่เริ่มมีแนวโน้มเติบโตอย่างชะลอตัวลงรองลงมาเป็นการนำน้ำยางข้นไปแปรรูปเป็นถุงมือยางทางการแพทย์ซึ่งทิศทางตลาดยังมีแนวโน้มสดใสสอดคล้องกับการเติบโตอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมการแพทย์
การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นการลดอุปทานยางพาราที่จะออกสู่ตลาด การเพิ่มการใช้ยางพาราภายในประเทศ การขยายตลาดส่งออกยางพาราใหม่ๆ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดจีน รวมถึงการวิจัยและพัฒนาเพื่อแปรรูปยางพาราไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นยังต้องอาศัยการบูรณาการการทำงานตั้งแต่การวางแผนการผลิต การแปรรูป การวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และการตลาด ซึ่งจำเป็นต้องสร้างความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมยางพารา ทั้งภาครัฐ เกษตรกร และภาคเอกชน
ธนาคารไทยพาณิชย์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี