ผมเพิ่งกลับจากเมืองออรังกาบาด เมืองแห่งถ้ำอาชันตา ซึ่งเป็นถ้ำทางศาสนาพุทธ และ ถ้ำเอลลอร่า ที่มีถ้ำหลายชนิด ตั้งแต่พุทธ ฮินดู และ ศาสนาเชน ที่เลื่องชื่อไปทั่วโลก
(ถ้ำพุทธที่ อาชันต้า)
สังเกตเห็นว่า ปัจจุบัน คนอินเดียเริ่มท่องเที่ยวตามโบราณสถานมากขึ้น มากกว่าแต่ก่อนเยอะทีเดียว ไม่เพียงแต่เที่ยวในประเทศเท่านั้น แต่ที่พบมาก็เช่นในประเทศอียิปต์
และเมื่อชาวอินเดียพบเห็นคนต่างชาติ โดยเฉพาะคนไทย เขาจะแสดงน้ำใสไมตรีทันที และมักจะเข้ามาขอถ่ายรูปด้วย
บังเอิญเห็นหญิงชายอินเดียคู่หนึ่งมาเดินเที่ยวอาชันตาด้วยกัน จากเครื่องแต่งกายที่เห็น ผมเดาว่า น่าจะเป็นคู่ที่เพิ่งแต่งงานกันหมาดๆ เลยถามไกด์ท้องถิ่น ได้รับคำตอบว่า ทั้งสองเพิ่งจะแต่งงานกันจริง
ก็ดูเครื่องแต่งกายฝ่ายชายซิ ยังกะพระเอกหนังจักรๆวงศ์ๆ ทางทีวีช่อง 7 เรื่อง สิงหไกรภพ เลยทีเดียว
(คู่แต่งงาน ป้ายแดง ซิงๆหมาดๆ ชาวอินเดีย)
การแต่งงานของชาวอินเดียในอดีต ฝ่ายหญิงจะต้องเป็นผู้ขอฝ่ายชายแต่งงาน พร้อมด้วยสินสอดทองหมั้นจำนวนพอสมควรตามแต่ฐานะของฝ่ายชาย เช่น ถ้าฝ่ายชายมีการงานดี เช่นเป็นหมอ รับราชการตำแหน่งดีๆ ฝ่ายหญิงก็จะถูกเรียกค่าสินสอดทองหมั้นกันจนแทบจะหมดเนื้อหมดตัว หรือ จนครอบครัวล่มจมลงไปก็มี
จนแทบจะไม่มีครอบครัวไหนอยากมีลูกผู้หญิงอีกเลย
เรื่องนี้เป็นปัญหาในระดับชาติของอินเดีย จนทำให้เกิดการตระหนักถึงปัญหาและมีการออกมารณรงค์เรียกร้องกัน เดี๋ยวนี้ เรื่องเงินสินสอดทองหมั้นที่ฝ่ายหญิงต้องจ่ายก็ลดน้อยลง จะมีเพียงก็ในชนบทที่ห่างไกลความเจริญและการศึกษาเท่านั้น
ประเพณีการแต่งงานของชาวอินเดียส่วนใหญ่ มักจะผ่านการจัดการโดยพ่อแม่ และ ญาติพี่น้องทั้งนั้น และระบบนี้ก็ยังทำงานอย่างเข้มแข็ง ประมาณว่า กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของคู่แต่งงานชาวอินเดีย จะผ่านการจัดการของบิดามารดาของทั้งสองฝ่ายทั้งสิ้น
ไกด์ท้องถิ่นของผมเล่าเรื่องชีวิตคู่ชาวอินเดียให้ผมฟังว่า
ทุกเช้า ภรรยาจะตื่นนอนก่อนสามี จากนั้นเธอก็จะอาบน้ำ และ สระผม
โดยปกติ ผู้หญิงอินเดียมักจะไว้ผมยาว ดังนั้น กว่าผมจะแห้งสนิทต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน จึงมีโมเมนต์แห่งความโรแมนติดเกิดขึ้น
ภรรยาจะสะบัดผมที่ยาว และ เปียกเล็กน้อยให้ผ่านใบหน้าของสามีที่นอนอยู่บนเตียง เป็นการปลุกสามีให้ตื่นขึ้น
เป็นการปลุกแบบสร้างสรรค์ และ โรแมนติค ในแนวอินเดีย
จากนั้นภรรยาก็จะทำการรดน้ำต้นไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นกะเพรา ที่ปลูกในบ้าน และต้องทำการบูชาต้นกะเพราด้วย
ชาวฮินดู จะนับถือต้นกะเพราว่าเป็นต้นไม้ศักดิสิทธิ์ เหมือนเป็นต้นไม้ของเทพเจ้า จึงมักจะใช้ใบกะเพราในการบูชาเทพเจ้าด้วย
ด้วยเหตุนี้ เมื่อทัวร์ไทยไปอินเดียและต้องการทานไก่ผัดใบกะเพรา จึงเป็นเรื่องที่กระอักกระอ่วนใจต่อพ่อครัวเป็นอย่างยิ่งที่จะทำเมนูที่ว่านี้ โดยเฉพาะ พ่อครัวที่เคร่งในศาสนาฮินดู
เพราะเขาคิดว่าใบกะเพรา ไม่ใช่ใบไม้ที่จะเอามาทานกัน แต่เป็นใบไม้ที่จะถวายแด่เทพเจ้า
(ชาปาตี อาหารหลักของชาวอินเดีย – ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
เมื่อรดน้ำเสร็จ ฝ่ายหญิงก็จะต้องทำอาหารเช้าให้สามี ส่วนใหญ่จะมีอาหารประเภทแป้งเป็นหลัก ทำเป็นแผ่นเหมือนแผ่นโรตี ที่เรียกกันว่า ชาปาตี(CHAPATI)
การทำอาหารเช้าด้วยแป้งของชาวฮินดูแบบนี้ มีประเพณีที่ยึดถือกันมายาวนานก็คือ ซาปาตีแผ่นแรก จะต้องให้แก่วัว
ตามความเชื่อของศาสนาฮินดู วัวก็คือ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นพาหนะของพระศิวะ ที่เรียกกันว่า นนทิ (NANDI) เมื่อชาวฮินดูนับถือพระศิวะ ก็ต้องนับถือวัวนนทิ ที่เป็นพาหนะของพระศิวะด้วย
(วัวนนทิ พาหนะของพระศิวะ – ภาพจากวิกิพีเดีย)
ชาปาตีแผ่นที่สองจะทำให้แก่ สุนัขที่เลี้ยงในบ้าน หรือ สุนัขในบริเวณใกล้เคียง เป็นความหมายของการเผื่อแผ่ความเมตตาแก่สัตว์โลก
จากนั้น ชาปาตี แผ่นที่ 3 นั่นแหละ ถึงจะเป็นของคุณสามี เป็นแนวคิดทางศาสนาฮินดูที่พยายามสั่งสอนให้คนพิจารณาจากภายนอก หรือ จากสังคมเข้ามาหาตัวเอง แทนที่จะคิดจากตัวเองออกไปหาสังคม
แต่ประเพณีดังกล่าว ค่อยๆจางหายไป โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆที่ยากแม้กระทั่งจะหาวัว หรือ หมาสักตัวที่จะให้ทานชาปาตี
แต่สำหรับในชนบทที่อยู่ห่างไกลมากๆ ประเพณีของคู่แต่งงานชาวอินเดียแบบนี้ ยังคงมีความเข้มแข็งอยู่
ว่ากันว่า แม้กระทั่งความโรแมนติดของการสะบัดผมให้โดนหน้าสามีก็ยังทำกันอยู่
สวัสดี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี