โดย เสรษฐวิทย์ ชีรวินิจ
หลังจากที่ชุมชนบัณฑิตแห่งแคชเมียร์เริ่มอพยพออกจากบ้านเกิดในช่วงปี 1989 เป็นต้นมา เศรษฐกิจของแคชเมียร์ก็ค่อยๆเสื่อมถอยและทรุดหนักลงในเวลาต่อมา
สาเหตุมาจากบรรดาผู้อพยพออกไปจากหุบเขาแคชเมียร์ส่วนใหญ่เป็นผู้มีการศึกษา และ มีฐานะ คนทำธุรกิจ และ เจ้าของที่ดิน
พูดง่ายๆก็คือ บัณฑิตแห่งแคชเมียร์เป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของแคชเมียร์นั่นเอง
(บ้านของบัณฑิตแห่งแคชเมียร์ที่ถูกทิ้งร้าง เจ้าของบ้านน่าจะมีฐานะดีพอสมควร-ภาพจากวิกิพีเดีย)
ทำให้ประชากรส่วนที่เหลืออยู่ในแคชมียร์ส่วนใหญ่เป็นคนที่ด้อยการศึกษา หนักหนาสาหัสถึงขนาดที่จำนวนมากอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้
จึงมิต้องพูดถึงว่า คนที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้เหล่านี้ จะสามารถทำการค้า ทำธุรกิจได้ อย่างเก่งก็คงจะเป็นเพียงชาวไร่ชาวนา และ เป็นพวกแรงงานเท่านั้น
ที่น่าสนใจก็คือ ส่วนใหญ่ของคนเหล่านี้เป็นมุสลิม
จากตัวเลขที่หน่วยสืบราชการลับของอเมริกา ที่เรียกว่า ซีไอเอ ประเมินไว้ก็คือ มีบัณฑิตแคชเมียร์อพยพออกจากพื้นที่ประมาณ 300,000 คน ดังนั้น ประชากรที่เหลือในแคชเมียร์น่าจะอยู่ที่ประมาณ 3 ล้าน5 แสนคน
แน่นอนว่า ประชากรที่อาศัยในแคชเมียร์ย่อมไม่สามารถหลีกเลี่ยงสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อย่างสุดๆนี้ไปได้ ไม่ว่าพวกเขาจะนับถือศาสนาอะไรก็ตาม
ภาวะเช่นนี้ เป็นโอกาสทองของปากีสถานที่จะแทรกซึมเข้ามาเพื่อจะยึดแคชเมียร์ โดยการใช้วิธีการหว่านเงิน และ ก่อการร้ายผ่านทางองค์กรก่อการร้ายต่างๆ
การก่อการร้าย จะเริ่มตั้งแต่จ่ายเงินให้เยาวชนเพื่อทำการก่อกวนด้วยการเขวี้ยงหินเข้าหาเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ หรือ ฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง จนกระทั่ง สิ่งที่รุนแรงมากไปกว่านั้น
เมฆดำทะมึนแห่งฝันร้ายเริ่มเข้าปกคลุมอินเดียอีกครั้ง
(สถานที่ตั้งของเมืองอโยธยา ในประเทศอินเดีย-ภาพจากวิกิพีเดีย)
ความขัดแย้งระหว่างศาสนาฮินดู และ อิสลาม ปะทุขึ้นอีกครั้งหลังจากคุกรุ่นมานานหลายสิบปี ประเด็นก็คือ การเรียกร้องเอามัสยิด บาบริ ที่เมืองอโยธยาในรัฐอุตตราประเทศ ให้กลับมาเป็นวิหารของศาสนาฮินดูอีกครั้ง
(มัสยิด บาบริ ที่เมืองอโยธยา - ภาพจากวิกิพีเดีย)
นักวิชาการลงความเห็นไปในทางเดียวกันว่า ในปี 1528 ราชวงศ์โมกุล ซึ่งขณะนั้นมีจักรพรรดิพระนามว่า บาเบอร์ ได้ทำลายวิหารฮินดูหลังหนึ่งลงมา แล้วสร้างมัสยิดขึ้นมาหลังถึง มีชื่อว่า มัสยิด บาบริ
ชาวฮินดูเชื่อว่า ที่นี่คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาฮินดู เพราะเป็นสถานที่ประสูติของพระราม และด้วยการพิสูจน์ทางโบราณคดีจึงได้ข้อยุติว่า สถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของวิหารพระรามจริง แต่ถูกราชวงศ์โมกุลทำลายลง แล้วสร้างมัสยิดขึ้นแทน
สถานที่แห่งนี้ กลายเป็นศาสนสถานของทั้งสองศาสนามาเป็นเวลายาวนานกว่า 400 ปี จนกระทั่งมีการฟ้องร้องต่อศาลเพื่อให้ตัดสินให้สถานที่แห่งนี้เป็นของศาสนาฮินดูในปี 1822 ขณะนั้น อังกฤษยังปกครองอินเดียอยู่
การโต้แย้งในศาลดำเนินต่อเนื่องเรื่อยมา ในขณะที่บรรยากาศความขัดแย้งภายนอกศาลก็เพิ่มความรุนแรงขึ้นไปเรื่อยๆ
แล้วจะจบลงอย่างไร
ผมกำลังจะนำชมชมทัวร์เจาะลึกอียิปต์แบบ "ทัวร์พรีเมี่ยม" โรงแรมที่พักดี ล่องเรือระดับ 5 ดาว อาหารดีตามโรงแรม5 ดาว และโปรแกรมชมครบครัน เพียง 3 ทริปในฤดูกาลนี้ คือ ตุลาคม , ธันวาคม และ กุมภาพันธ์ ปีหน้า ทริปละ 15 ท่านเท่านั้น ทุกทริปมีตั๋วเครื่องบินเรียบร้อย ออกเดินทางแน่นอน สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่โทร 0885786666 หรือ LINE ID - 14092498
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี