การที่รัฐบาลโดยนายภูมิธรรม เวชยชัย ซึ่งอ้างมติที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ประกาศจะฟ้อง “ฮุน เซน-ฮุนมาเนต” ทั้งแพ่งและอาญาต่อศาลไทย กรณีสร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนไทย จากการก่อสงครามรุกรานไทย ดูแล้วก็เหมือนรัฐบาลชุดนี้ที่มี“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นผู้ชักใยและบงการ กำลังเล่นละครตบตาคนไทย และอาจทำให้มองไปได้ด้วยว่า “ทักษิณ”กำลัง“สมคบคิด”กับ“ฮุน เซน” โดยที่ทั้งสองตระกูลไม่ได้“แตก”กันจริง
เพราะการเปิดฉากรุกรานไทยในวันแรก ของสองพ่อลูก“ตระกูลฮุน”แห่งเขมร เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2568 โดยการยิงปืนใหญ่ขนาด 122 มม. และจรวดหลายลำกล้อ“BM-21” โจมตีเป้าหมายพลเรือนของไทย คือ โรงพยาบาล, บ้านเรือนประชาชนและร้านสะดวกซื้อในปั้มน้ำมัน ที่จังหวัดสุรินทร์, ศรีสะเกษ, บุรีรัมย์ และอุบลราชธานีนั้น ปรากฏหลักฐานชัดเจน ว่าเป็นการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมที่ร้ายแรง
อันเป็นการ“ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” เข้าองค์ประกอบ“อาชญากรรมสงคราม” และ“อาชญากรรมอันเป็นการรุกราน” ตามธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นสนธิสัญญาที่จัดตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2541 และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2545 โดยในปัจจุบันนี้มีรัฐภาคีทั้งหมด 125 รัฐ
และเพียงแค่วันแรก จากการเปิดฉากโจมตีเป้าหมายพลเรือนใน 4 จังหวัดดังที่กล่าวนั้น มีประชาชนพลเรือนไทยเสียชีวิต 9 ราย และบาดเจ็บ 14 ราย
จุดแรก-ที่บริเวณปั๊ม ปตท. อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ส่งผลให้ประชาชนเสียชีวิต 6 รายและบาดเจ็บ 10 ราย, จุดที่สอง-อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ส่งผลให้ประชาชนเสียชีวิต 2 รายและบาดเจ็บ 2 ราย ซึ่งในจำนวนผู้เสียชีวิตเป็นเด็กชายหนึ่งคน อายุ 8 ปี, จุดที่สาม-พื้นที่บ้านกุดเชียงมุน,บ้านจันลา และบ้านโพนทอง อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 1ราย และจุดที่สี่-พื้นที่อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ มีชาวบ้านได้รับบาดเจ็บ 1 ราย
เพียงแค่วันแรกวันเดียวที่กัมพูชาเปิดฉากรุกรานไทย จากหลักฐานที่ปรากฏ ทั้งจากจำนวนประชาชนพลเรือนไทย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่ได้รับบาดเจ็บเสียชีวิต ตลอดจนโรงพยาบาล บ้านเรือนประชาชน ร้านค้าสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน รวมทั้งสัตว์เลี้ยงทางการเกษตร คือ วัว-ควาย และยังส่งผลให้ประชานพลเรือนไทยเกือบ 2 แสนคน ต้องอพยพหนีภัยไปอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิง และบ้านญาติพี่น้อง นี่คือหลักฐานชัดเจน ที่จะเอาผิดสองพ่อลูกตระกูลฮุน เป็นคดีขึ้นฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศได้เลย
และยิ่งเมื่อสรุปภาพรวม ความเสียหาย 5 วันจากการก่อสงครามรุกรานไทยของกัมพูชา ระหว่างวันที่ 24 สิงหาคมจนถึงวันที่ 28 สิงหาคม 2568 ที่“ไทย-กัมพูชา”ได้ตกลงหยุดยิงร่วมกัน ที่ประเทศมาเลเซียก็ยิ่งชัดเจนและมีน้ำหนักมาขึ้นไปอีก โดยมีพลเรือนไทยทั้งเด็กและผู้ใหญ่เสียชีวิต 16 ราย บาดเจ็บ 38 ราย ทหารเสียชีวิต 15 นาย บาดเจ็บ 192 นาย มีโรงพยาบาลทั่วไปเสียหาย 20 แห่ง และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ได้รับความเสียหายรวมทั้งสิ้น 144 แห่ง บ้านเรือนประชาชนเสียหาย 705 หลัง และโรงเรียนต้องปิดการสอน 914 แห่งใน 7 จังหวัด
อย่างไรก็ตาม จากการให้สัมภาษณ์ของนายภูมิธรรม เวชยชัย ภายหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)เมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา แม้จะบอกว่าที่ประชุมสมช.ได้มีการหารือเรื่องที่จะดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งแพ่งและอาญากับสองพ่อลูกตระกูลฮุน เนื่องจากกัมพูชาได้ใช้กำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ในการรุกรานอธิปไตยของไทย และมีหลายส่วนที่กระทบกับชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนคนไทย ก็ตาม
แต่กลับกลายเป็นว่า การดำเนินคดีกับสองพ่อลูกตระกูลฮุน ตามที่นายภูมิธรรม เวชยชัย ให้สัมภาษณ์นั้น นายภูมิธรรมบอกว่า “เราจะฟ้องเฉพาะในประะเทศเท่านั้น จะไม่ไปฟ้องที่กฎหมายระหว่างประเทศ และว่าถ้าสองพ่อลูกทรราชเขมรเข้ามาในประเทศ“เจอเมื่อไหร่ก็จับ”
และฟังเหตุผลต่อไปจากนายภูมิธรรม เวชยชัย ที่เวลานี้คนทั้งบ้านทั้งเหมือนเรียกขานว่า“ภูมิต่ำ”ว่า ทำไมถึงต้องฟ้อง“ฮุน เซน-ฮุนมาเนต” โดยที่ประชุมสมช.ได้มอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการในเบื้องต้นเกี่ยวกับรวบรวมหลักฐานและทำสำนวนคดี ก่อนจะส่งให้อัยการสูงสุด เพื่อรับหน้าที่ในการฟ้องร้อง ซึ่ง“อ้วน-ภูมิต่ำ”บอกว่า การฟ้องร้องสองพ่อลูกตระกูลฮุนนั้น “ไม่ทำก็ไม่ได้ ถ้าหากเราไม่ทำ อาจจะโดนข้อหามาตรา157 ที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่”
รักษาการนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ“ภูมิธรรม เวชยชัย” ซึ่งเป็น“ข้าเก่าเต่าเลี้ยง”ของ“ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นนายใหญ่ที่เป็นเพื่อนรักเพื่อนเลิฟของ“ฮุนเซน” พูดออกมาอย่างนั้น ย่อมแปลความเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย แต่สามารถเข้าใจได้ว่าสาเหตุที่รัฐบาลต้องฟ้อง ก็เพราะกลัวความผิดตามมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา จึงจำเป็นต้องฟ้อง
ทั้งนี้ “มาตรา 157”บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
เขียนมาถึงตรงนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัยว่า “ทักษิณ ชินวัตร”กับ“ฮุน เซน” กำลังเล่นละครตบตาคนไทยคนเขมร และชาวโลก โดยใช้ชีวิตเลือดเนื้อของประชาชนและทหารทั้งไทยและเขมร“เช่นสังเวย” เพื่อผลประโยชน์ทั้งเงินและอำนาจ จากการ“สมคบคิด”ระหว่าง“ตระกูลชิน-ตระกูลฮุน”หรือไม่
ด้วยเหตุสงสัยดังที่ว่านั้น จึงทำให้การดำเนินคดีกับสองพ่อลูกเขมร“ฮุน เซน-ฮุนมาเนต” อาชญากรสงครามผู่ก่อสงครามรุกรานไทย เป็นเพียงแค่คดีแพ่งและคดีอาญาที่จะยื่นฟ้องต่อศาลในประเทศไทย ทั้งๆที่สามารถยื่นฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศไทยได้ เพราะแม้เราจะไม่ใช้รัฐภาคีของศาลอาญาระหว่างประเทศ แต่กัมพูชาเป็นรัฐภาคีของศาลแห่งนี้ ทำให้ไม่อาจนำมาอ้างได้ว่า ฟ้องไม่ได้เนื่องจากเรายังใม่ได้เป็นรัฐภาคี
ที่ตลกยิ่งไปกว่านั้น และตลกไม่เนียนก็คือ ที่“ภูมิธรรม เวชยชัย”บอกว่า ถ้า“สองพ่อลูกตระกูลฮุน”เข้ามาในประเทศ“เจอเมื่อไหร่ก็จับ”นั้น เพราะโดยข้อเท็จจริง เป็นเรื่องยากที่จะทำได้ในทางปฏิบัติ เนื่องจากยังมีกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ และหลักการทางการทูต ให้ความคุ้มครองผู้นำต่างชาติ ซึ่งเท่ากับเป็นตัวช่วยสองพ่อลูกตระกูลฮุนอีกทางหนึ่ง
และก็เพราะเงื่อนไขนี้ ในคืนวันที่ 18 สิงหาคม หลังจาก สมช.มีมติ และ“ภูมิธรรม เวชยชัย”ให้สัมภาษณ์สื่อ ว่าจะดำเนินคดีทางแพ่งและอาญากับ“ฮุน เซน-ฮุนมาเนต” และจะจับกุมตัวทันทีถ้าเข้ามาในเมืองไทย ปรากฏว่า“ฮุน เซน”ได้โพสต์ในเฟซบุ๊ก“Samdech Hun Sen of Cambodia” โต้“ภูมิธรรม”ที่ประกาศจะจับกุมตนเองทันทีหากพบตัวในประเทศไทยแบบด้อยค่าว่า
“หากการเผยแพร่ของหนังสือพิมพ์ เป็นคำพูดจริงของรักษาการนายกรัฐมนตรีที่ใกล้จะหมดวาระ แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนป่าที่ไม่รู้จักอะไร คือไม่รู้จักกฎหมายจารีตประเพณี และไม่รู้จักแม้กระทั่งการทูต หากไทยสามารถจับกุมผู้นำกัมพูชาได้ กัมพูชาก็สามารถจับกุมผู้นำไทยบางคน ที่เคยรุกรานและสังหารประชาชนกัมพูชาได้เช่นกัน”
ครับ-หมดหวังจริงๆ สำหรับรัฐบาลเพื่อไทยภายใต้การชักใยและบงการของ“ทักษิณ ชินวัตร” และที่สำคัญคือ ไว้วางใจไม่ได้อีกด้วย ซึ่งก็คงต้องกู่ตะโกนประโยคเดิมว่า “ทักษิณติดคุก-อุ๊งอิ๊งค์ออกไป” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี