2 ปีในการทำงานของสส.และรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งสวมเสื้อคลุมประชาธิปไตยอำพรางตน ได้พิสูจน์ให้เห็นและมีคำถามว่า “เรามี สส.และพรรคการเมืองไว้ทำอะไร”
ที่พูดอย่างนี้ เพราะเห็นได้จากศึกสงครามที่เขมรรุกรานไทยในครั้งนี้ โดยที่ทุกอย่างดำเนินได้อย่างราบรื่น เพราะมีสถาบันเป็นหลัก รองลงไปก็คือกองทัพและประชาชน ที่สามัคคีร่วมมือร่วมใจกัน กองทัพอยากได้อะไรเอ่ยปากมา ประชาชนคนไทยก็เป็นจิตอาสาจัดหาให้ได้ครบ เรียกว่า“สากกะเบือยันเรือรบ”จัดหาให้ได้หมด
ขณะที่ สส.และพรรคการเมือง เหมือนหายสาบสูญไปจากโลกนี้โดยสิ้นเชิง มิหนำซ้ำบรรดาสส.ฝ่ายค้านจากพรรคประชาชน มีปากก็ยังเห่าเหมือนเข้าข้างฝ่ายเขมรที่เป็นข้าศึกศัตรูผู้ก่อสงครามรุกรานไทย และไม่เคยเห็นคุณงามความดีของกองทัพไทย ที่ลูกหลานพี่น้องทหารหาญยอมเสียสละชีวิตเลือดเนื้ออยู่ในแนวหน้า เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติบ้านเมือง
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้จึงไม่แปลกที่ผลสำรวจของ“นิด้าโพล”เมื่อวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้ข้อสรุปว่า เวลานี้ประชาชนคนไทยไม่พอใจการทำงานของ สส.และหมดหวังกับพรรคการเมือง
ทั้งนี้ ศูนย์สำรวจความคิดเห็น“นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) ได้เปิดเผยผลสำรวจในหัวข้อ “มีความหวังหรือหมดหวังกับพรรคการเมือง” ซึ่งจัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 13-14 สิงหาคม 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 1,310 ตัวอย่างทั่วประเทศ
ผลสำรวจดังกล่าว เผยให้เห็นถึงความรู้สึกของประชาชนคนไทย ต่อการทำงานของ สส.และภาพรวมของพรรคการเมืองไทยในปัจจุบัน-ยกมาดังนี้
เมื่อถามถึงความพอใจของประชาชน ต่อการทำงานของ สส.ปัจจุบันในเขตเลือกตั้ง พบว่าไม่ค่อยพอใจ32.29 เปอร์เซ็นต์, ค่อนข้างพอใจ 28.24 เปอร์เซ็นต์ รวมสัดส่วนความไม่พอใจ 60.53 เปอร์เซ็นต์
สำหรับการเลือกตั้ง สส.ปัจจุบัน ในเขตเลือกตั้งให้กลับเข้าสู่ตำแหน่ง พบว่าไม่เลือก 50.69 เปอร์เซ็นต์
การเลือก สส.แบบบัญชีรายชื่อจากพรรคการเมืองเดิม ที่เคยเลือกเมื่อปี2566 หากวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง พบว่าไม่เลือก 40.46 เปอร์เซ็นต์
ความหวังของประชาชนต่อพรรคการเมือง ที่มีสส.อยู่ในสภาผู้แทนราษฎรปัจจุบันทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ในการแก้ปัญหาของประเทศ พบว่าหมดหวังแล้ว 41.1 เปอร์เซ็นต์ และค่อนข้างหมดหวัง 34.19 เปอร์เซ็นต์ รวมสัดส่วนการหมดหวัง 76.10 เปอร์เซ็นต์
สรุปก็คือ ถึงวันนี้ ชาวบ้านเขาไม่เอาสส.และพรรคการเมือง ที่นั่งชูคออยู่ใน“สัปปายะสภาสถาน”กันหมดแล้ว และไม่สมกับเป็นผู้ทรงเกียรติในสถานที่แห่งนี้ ซึ่งแปลความหมายว่า “สถานที่ประกอบกรรมดี”
เมื่อไปดูค่าใช้จ่ายสำหรับ สส.ในแต่ละปี ที่เป็นภาระของประชาชนจากเงินภาษีของแผ่นดิน เปรียบเหมือนกับที่เราต้องเลี้ยงสุนัขไว้เฝ้าบ้านเป็นค่า“อาหารหมา”นั้น ต้องบอกว่า“เปลืองข้าวสุก” ค่าเลี้ยงดู สส.แต่ละคนตกหัวละประมาณ 1.5ล้านบาทต่อปี ทั้งจากค่าเงินเดือน, ค่ารักษาพยาบาล, ค่าเบี้ยประชุมและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ซึ่งเบ็ดเสร็จ 4 ปีหากอยู่ครบวาระ ก็จะตกเป็นเงินหัวละ 6 ล้านบาท
และเมื่อรวมจำนวน สส.ที่มีจำนวนเต็มทั้งหมด 500 คน ก็จะเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 3 พันล้านบาท
เงินจำนวน 3 พันล้านบาทนั้น ยังไม่นับรวมค่าอาหารในวันประชุม ตกปีละกว่า 152 ล้านบาท ซึ่งจำนวนนี้ยังไม่นับรวมการประชุมในนัดสำคัญๆ เช่นการประชุมพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีอีกวันละ 5 แสนบาท รวมทั้งการประชุมกรรมาธิการคณะต่างๆ ของสภาฯ
นอกจากนั้น ก็ยังไม่นับรวมเงินงบประมาณที่จะต้องจ่ายเฉพาะตัวให้แก่สส.แต่ละคน ที่สามารถมีผู้ช่วยประจำตัวได้สูงสุด 8 คน คือ ผู้เชี่ยวชาญประจำตัว 1 คน รับเงินเดือนๆ ละ24,000 บาท, ผู้ชำนาญการประจำตัว 2 คน รับเงินเดือนๆ ละ 15,000 บาท และผู้ช่วยดำเนินงาน 5 คน รับเงินเดือนๆ ละ 15,000 บาท
ทั้งหมดนั้น ถือว่าไม่มากแต่ก็มากสำหรับเนื้องาน จากที่สส.ผู้ถูกยกย่องให้เป็นผู้ทรงเกียรติ ที่ชอบอ้างประชาชนหากิน ว่ามาจากประชาชนและทำงานเพื่อรับใช้ประชาชน กับงานซึ่งเป็นที่ปรากฏในแต่ละสมัยประชุม คือปีหนึ่งมีแค่ 2 ครั้งเท่านั้น
บรรทัดนี้ขอตะโกนถามดังๆ อีกครั้งว่า “เรามี สส.และพรรคการเมือง”ไว้ทำหอกอะไร ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี