ถ้าวันนี้ นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ไปศาล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็จะถูกพิสูจน์ความเป็นมืออาชีพทันที
จะทำหน้าที่ซักถาม ตรงไปตรงมา ในประเด็นที่คนทั้งบ้านทั้งเมืองเขาคาใจ สงสัย (และบางส่วนโมโหด้วยซ้ำ)
หรือจะหงอต่อลูกสาว สทร. ?
หรือถ้านายกฯอุ๊งอิ๊งค์ไม่ไปศาล ก็ยังมีโอกาสส่งหนังสือคำแถลงปิดคดีไปชี้แจงปิดท้ายก่อนศาลจะวินิจฉัยชี้ขาดในวันที่ 29 ส.ค.นี้
ตุลาการจะต้องซักถาม ทั้งประเด็นที่อยู่ในหนังสือชี้แจงของนายกฯอุ๊งอิ๊งค์ และส่วนที่นายกฯอุ๊งอิ๊งค์ไม่ได้ชี้แจงในหนังสือ เพราะต้องการกลบเกลื่อนไว้
ตัวอย่างประเด็นที่อยู่ในหนังสือชี้แจง เมื่อวานนี้ ได้นำเสนอมุมมองที่น่าสนใจบางส่วน จากข้อเขียนของคุณ “นิรชน ชัยธรรม” (ที่เผยแพร่ผ่านสำนักข่าวอิศรา) ว่าด้วยเรื่อง “ประเมิน 11 ข้อชี้แจง “แพทองธาร สอบตกฯ”
ปรากฏว่า ท่านผู้อ่านอยากทราบประเด็นอื่นๆ ที่นายกฯต่อสู้คดี มีอะไรอีกบ้าง?
ความจริง นอกจากการพยายามหักล้างข้อกล่าวหาแล้ว นายกฯอุ๊งอิ๊งค์ยังใช้วิธีหยิบยกบางประเด็นขึ้นทำลายน้ำหนักคำร้องด้วย
วันนี้ ขอเพิ่มเติม และให้ข้อสังเกต ดังนี้
1. ประเด็นชี้แจงของนายกฯอุ๊งอิ๊งค์เพิ่มเติม รวมถึงประเด็นที่หยิบยกขึ้นหวังทำลายน้ำหนักคำร้อง
ลองพิจารณาประกอบผลประเมินโดย คุณ “นิรชน ชัยธรรม” เพิ่มเติม (นอกจากที่กล่าวไปแล้วเมื่อวานนี้) อาทิ
“...ประเด็นที่ผู้ร้องกล่าวหาว่า ไม่รักชาติ เนื่องจากไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวใดๆ จนบุคคลสำคัญและประชาชนคนไทยต้องออกมาเรียกร้องความรับผิดชอบจากนายกรัฐมนตรีให้ปฏิบัติหน้าที่โดยด่วนและเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีรักชาติ
คำชี้แจงสรุปได้ว่า ในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไทย ซึ่งได้เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ว่าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ มีความตั้งใจทำงานตามบทบาทหน้าที่ของตนอย่างเต็มความสามารถเพื่อปกป้องซึ่งผลประโยชน์ ของประเทศและประชาชนชาวไทย ดังจะเห็นได้จากการออกแถลงการณ์ชี้แจงข้อเท็จจริง แนวทาง หรือตอบโต้การกระทำต่างๆ ตามความเหมาะสมแก่สถานการณ์
คะแนนแบบเข้มงวด = 4
คะแนนแบบผ่อนปรน = 6
เหตุผลการให้คะแนน : ความเสียหายตามแนวชายแดนอาจจะลดลงกว่าที่เกิดขึ้นจริง หากรัฐบาลดำเนินการอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคำชี้แจงที่อ้างถึงการถวายสัตย์ปฏิญาณ หรืออ้างถึงความตั้งใจซึ่งเป็นนามธรรมเท่านั้น เป็นคำชี้แจงที่ยังขาดความชัดเจนที่แสดงถึงความรวดเร็วในการปฏิบัติหน้าที่
....
ประเด็นที่ผู้ร้องกล่าวหาว่า คุกคามสื่อมวลชน โดยมีความโกรธจนควบคุมตัวเองไม่ได้ พูดจาประชดสื่อมวลชน และเมื่อจบการแถลงข่าวได้เดินบุกไปยังพื้นที่ที่สื่อมวลชนยืนอยู่ ถามหาสื่อมวลชนผู้ที่ตั้งคำถาม อันเป็นการคุกคามสื่อมวลชนอย่างที่นายกรัฐมนตรีไม่พึงปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง
คำชี้แจงสรุปได้ว่า ภายหลังจบการแถลงข่าวดังกล่าว ได้เดินผ่านกลุ่มสื่อมวลชนจึงสอบถามด้วยอัธยาศัยไมตรีว่า “เค้าโกรธอะไรเหรอ ตะกี้” ซึ่งกลุ่มสื่อมวลชนในขณะนั้น ได้ตอบกลับมาว่า“ไม่ได้โกรธ” “เป็นคาแร็กเตอร์” และ “ไม่มีใครโกรธนายกฯเลยครับ” แล้วยังได้พูดจาหัวเราะกันตามประสาบุคคลที่พบปะ กันบ่อยครั้งและมีความสัมพันธ์อันดี ขอยืนยันว่าในการปฏิบัติหน้าที่ที่ผ่านมาไม่เคยมีเจตนาคุกคามสื่อมวลชนแต่ประการใด การกล่าวอ้างของผู้ร้องจึงเป็นความอคติส่วนตน
คะแนนแบบเข้มงวด = 5
คะแนนแบบผ่อนปรน = 6
เหตุผลการให้คะแนน : การชี้แจงโดยยกคำพูดของทั้งสองฝ่ายขึ้นมากล่าวอ้าง ทำให้คำชี้แจงมีความน่าเชื่อถือ แต่เมื่อชี้แจงในลักษณะโต้ตอบผู้ร้องว่ามีอคติส่วนตน ทำให้คำชี้แจงลดความน่าเชื่อถือลง แต่ทั้งคำร้องและคำชี้แจงไม่ส่งผลต่อการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นหลัก
.....
ประเด็นที่นางสาวแพทองธารเอง ยกขึ้นทำลายน้ำหนักคำร้องว่า ข้อความตามคลิปเสียงที่อ้างเป็นพยานหลักฐานยังไม่ได้ผ่านการแปลหรือรับรองความถูกต้องโดยชอบด้วยกฎหมาย
คำชี้แจงสรุปได้ว่า ข้อความที่นำมาอ้างเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้เป็นบทสนทนาในภาษาต่างประเทศ และจนถึงปัจจุบันยังไม่ได้มีการแปลโดยผู้มีอำนาจหรือผ่านการรับรองความถูกต้องโดยหน่วยงานของรัฐที่น่าเชื่อถือ การนำข้อความในภาษาต่างประเทศมาใช้ในกระบวนการพิจารณาของศาลนี้ โดยเฉพาะในคดีที่กระทบต่อสถานะของนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาล จึงจำต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบอย่างรอบคอบเพื่อให้สามารถรับฟังได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลพิจารณามีคำสั่งให้แปลข้อความดังกล่าวโดยล่ามที่ขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการและให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งไทยและกัมพูชารับรองความถูกต้องของถ้อยคำและบริบทของบทสนทนาดังกล่าวก่อนนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดี
คะแนนแบบเข้มงวด = 2
คะแนนแบบผ่อนปรน = 6
เหตุผลการให้คะแนน : ข้อกล่าวหาตามคำร้อง เป็นการอ้างคำพูดของนางสาวแพทองธารที่พูดเป็นภาษาไทยเท่านั้น ส่วนคำพูดของคู่กรณีที่เป็นภาษากัมพูชาและล่ามได้แปลเป็นภาษาไทย ไม่ได้ถูกนำมากล่าวอ้างในคำร้อง จึงไม่จำเป็นต้องใช้ล่ามอย่างเป็นทางการ แต่การเข้าใจถึงการสนทนาของทั้ง 2 ฝ่าย อย่างถูกต้องครบถ้วนก็เป็นประโยชน์ในพิจารณาอยู่บ้าง เป็นคำชี้แจงที่มีประโยชน์ต่อนางสาวแพทองธารไม่มาก
....
ประเด็นที่นางสาวแพทองธาร ยกขึ้นทำลายน้ำหนักคำร้องว่า พยานหลักฐานที่นำเสนอ ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำชี้แจงสรุปได้ว่า พยานหลักฐานที่นำเสนอในคำร้องของผู้ร้องเป็นบทสนทนาที่ได้มาจากการบันทึกเสียงหรือการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยปราศจากความยินยอมจากคู่สนทนา ซึ่งเป็นการได้มาซึ่งข้อมูลโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายและหลักนิติธรรม ทั้งอาจเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 14 (2) ซึ่งบัญญัติห้ามมิให้นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร โดยกรณีนี้ได้มีการนำข้อมูลบทสนทนาดังกล่าวไปเผยแพร่ในลักษณะอันอาจทำให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน และอาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลโดยไม่เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตย ซึ่งได้มีการร้องทุกข์กล่าวโทษไว้แล้วต่อพนักงานสอบสวน และคดีอยู่ระหว่างกระบวนการสืบสวนสอบสวน
คะแนนแบบเข้มงวด = 2
คะแนนแบบผ่อนปรน = 6
เหตุผลการให้คะแนน : พ.ร.ป.ว่าด้วยการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 27 บัญญัติให้การวินิจฉัยข้อเท็จจริงศาลรัฐธรรมนูญรับฟังพยานหลักฐานได้ทุกประเภท คำชี้แจงนี้มุ่งจะทำลายน้ำหนักพยาน แต่เป็นประโยชน์ต่อนางสาวแพทองธารได้เพียงเล็กน้อย
....
ประเด็นที่นางสาวแพทองธาร ยกขึ้นทำลายน้ำหนักคำร้องว่า การใช้สิทธิยื่นคำร้องของ สว.เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เพียงเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ทั้งที่ทราบหรือควรจะทราบดีว่าการตรวจสอบการกระทำที่เป็นนโยบายระหว่างประเทศ ควรถูกตรวจสอบโดยกลไกปกติของรัฐสภา
คำชี้แจงสรุปได้ว่า ผู้ร้องซึ่งส่วนใหญ่เป็น สว.ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบของ กกต.ในส่วนของการเลือก สว. และกรมสอบสวนคดีพิเศษในส่วนของคดีอาญา อันเกี่ยวกับการเลือก สว. โดย สว.กลุ่มดังกล่าวได้ถูกคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของ กกต.แจ้งข้อกล่าวหาแล้ว โดยที่ผ่านมามีข้อกังขาแก่สังคมในวงกว้าง ถึงการทำหน้าที่และการใช้สิทธิลงมติต่างๆ ของ สว.กลุ่มดังกล่าว ว่าอาจถูกครอบงำทางการเมือง หรือถูกชี้นำโดยพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใดหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2568 เมื่อมีพรรคการเมืองหนึ่งประกาศถอนตัวจากรัฐบาลอย่างเป็นทางการ สว.กลุ่มดังกล่าวก็ได้เสนอคำร้องต่อประธานวุฒิสภาในทันที
คะแนนแบบเข้มงวด = 2
คะแนนแบบผ่อนปรน = 4
เหตุผลการให้คะแนน : สว.ที่ยื่นคำร้องแม้จะถูกคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของ กกต.แจ้งข้อกล่าวหาแล้ว แต่กระบวนการสืบสวนยังไม่ถึงขั้นตอนที่เสนอไปยังศาล และศาลมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือมีคำพิพากษาให้สมาชิกภาพสิ้นสุดลง อีกทั้งรัฐบาลของนางสาวแพทองธารก็ได้ใช้สถานะของ สว.ในวุฒิสภาเพื่อพิจารณาผ่านร่างกฎหมายต่างๆ มาโดยตลอดคำชี้แจงประเด็นนี้จึงทำลายน้ำหนักคำร้องได้เพียงเล็กน้อย
....
ประเด็นที่นางสาวแพทองธาร ยกขึ้นโต้แย้งอำนาจพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
คำชี้แจงสรุปได้ว่า การกระทำทางรัฐบาล (Act of Government) หรือ การใช้ดุลยพินิจทางการเมือง (Political Question) เป็นเรื่องที่ควรได้รับการตรวจสอบจากกลไกทางการเมืองเท่านั้น ซึ่งในประเทศไทยก็ปรากฏว่ามีแนวคิดดังกล่าวอยู่ในระบบกฎหมายไทยมาช้านาน สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเองเคยมีรายงานการศึกษาเรื่อง การกระทำทางรัฐบาลกรณีศึกษาเปรียบเทียบระหว่างประเทศไทย สาธารณรัฐฝรั่งเศส สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ ซึ่งเห็นถึงแนวทางของศาลในต่างประเทศได้จำกัดอำนาจของตนเองไม่ให้เข้าไปวินิจฉัยการใช้ดุลยพินิจทางการเมือง โดยปล่อยให้กลไกทางการเมืองทำหน้าที่ตรวจสอบกันเอง โดยเฉพาะในระบบรัฐสภาที่มีกลไกการตรวจสอบทางการเมืองอยู่แล้ว
คะแนนแบบเข้มงวด = 0
คะแนนแบบผ่อนปรน = 1
เหตุผลการให้คะแนน : รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี โดยไม่อาจที่จะไม่รับคำร้องไว้พิจารณาได้เมื่อได้เสนอเรื่องผ่านช่องทางที่ถูกต้องตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ...”
2. คุณ “นิรชน ชัยธรรม” สรุปผลการประเมินทั้ง 11 ประเด็นชี้แจงของนายกฯอุ๊งอิ๊งค์ รวมถึงประเด็นที่พยายามทำลายน้ำหนักคำร้อง
สรุปว่า
“...มี 2 ประเด็นสำคัญ ที่การให้คะแนนแบบเข้มงวด ติดลบ 2 คะแนน และแบบผ่อนปรน ได้คะแนนน้อยมากเพียง 2 คะแนน
คือ ประเด็นที่ 3 ที่กล่าวว่า อยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยเดี๋ยวจะจัดการให้
และประเด็นที่ 4 ที่กล่าวว่า แม่ทัพภาคที่ 2 อยู่ฝั่งตรงข้าม
ซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ควรกล่าวถึงความแตกแยกภายในประเทศต่อผู้นำต่างประเทศที่เป็นคู่กรณี ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังประชาชน ที่อาจเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม แม้มีเพียงประเด็นใดประเด็นหนึ่งที่แสดงถึงการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ก็เพียงพอที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้แล้ว”
3. คำเตือน...
อย่าหลงประเด็นว่า การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ จะต้องพิสูจน์เจตนาเล็งเห็นผลของนายกฯอุ๊งอิ๊งค์ และจะต้องเกิดผลเสียหายจากการกระทำนั้นโดยตรงแล้วเท่านั้น จึงจะพ้นตำแหน่ง
การอ้างความสุจริตใจ ไม่ได้ช่วยหักล้างการพูด การกระทำที่สำเร็จแล้ว ในคลิปเสียงสนทนาดังกล่าว
ประเด็น คือ การพูดคุยนั้น สมควรแก่สถานะของตำแหน่งนายกฯหรือไม่? ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรม หรือไม่?
ข้อ 6 ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ และความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน
กรณีของนายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ร้ายแรงกว่ากรณีอดีตนายกฯเศรษฐามาก
เพราะเป็นเรื่องอธิปไตยของแผ่นดิน เรื่องเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งนายกฯ ศักดิ์ศรีของประเทศชาติ
อาจารย์แก้วสรร อติโพธิ ระบุว่า “...เทคนิคเจรจาธุรกิจอย่างนี้ มันเอามาใช้กับการเจรจาความเมืองไม่ได้ครับ ไปพูดยืนยันว่านายกฯไทยเป็นฝ่ายตรงข้ามกับทหารอย่างนี้ เค้าก็เห็นถึงความอ่อนแอ เห็นความโดดเดี่ยวของกองทัพไทยทันที จนมีผลให้กล้าวางระเบิด กล้ายกเข้าโจมตีทหารเราก่อนได้เลย
คำพูดอย่างนี้ นายกรัฐมนตรีไทยพูดไม่ได้ เป็นภัยต่อความมั่นคงไทยอย่างชัดเจนยิ่ง ที่เธอแก้ตัวว่าไม่มีอะไรเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองนั้น ไม่เป็นความจริง
...ความสุจริตใจนั้นเอาไปใช้ต่อสู้ในคดีอาญาได้ว่าเธอกระทำการอันเป็นไส้ศึกหรือไม่ ขายชาติหรือไม่แต่การถอดถอนจากตำแหน่งในคดีนี้นั้นเป็นปัญหาความซื่อตรงต่อตำแหน่งหน้าที่ที่ต้องพิจารณาที่ตัว“การกระทำ” ของเธอว่า ต่ำกว่ามาตรฐานที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้สำหรับนักการเมืองหรือไม่ ตรงนี้เป็นความรับผิดโดยเคร่งครัด ที่ใครจะอ้างความสุจริตในใจมาแก้ตัวไม่ได้...”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี