เหลือเชื่อ...
นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ชี้แจงเป็นหนังสือไปยังศาลรัฐธรรมนูญ สรุปว่า ที่พูดคุยกับฮุนเซนนั้นไม่มีอะไรผิด ไม่มีอะไรไม่เหมาะสมเลย
เป็นเทคนิคการเจรจา เป็นการเรียกอังเคิลตามธรรมเนียม และยังได้เอื้อประโยชน์แก่ฮุนเซน
ที่เหลือเชื่อมากๆ คือ กล้าๆ กล่าวยืนยันด้วยว่า
“ข้าพเจ้าไม่ได้ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของตําแหน่งนายกฯ หรือบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนในความสุจริตและเหมาะสมในการดํารงตําแหน่งของข้าพเจ้าแต่ประการใด”
แถมขอกลับมาทำหน้าที่นายกฯ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยกยกเลิกคำสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยอ้างหน้าตาเฉยว่า
“...หากข้าพเจ้ายังคงปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อไป ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ของ ประเทศชาติและอธิปไตยของชาติ อีกทั้งสามารถปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะบูรณาการเจ้าหน้าที่รัฐทุกฝ่ายให้สนับสนุนการทําหน้าที่ของฝ่ายทหารและแสดงถึงความเข้มแข็งภายในชาติ...”
ทั้งๆ ที่ โพลนิด้า ระบุชัดยิ่งว่าชัดว่า
“นิด้าโพล” เรื่อง “สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ไปต่อแบบไหนดี” สะท้อนว่า ประชาชนไม่ไว้วางใจรัฐบาลเลย
ไว้วางใจกองทัพ : ร้อยละ 75.73 ระบุว่า ไว้วางใจมาก และร้อยละ 19.31 ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ
รวมที่ไว้ใจกองทัพมากและค่อนข้างไว้ใจ สรุปเป็นไว้ใจสูงถึง 95% !!!!
ไว้วางใจรัฐบาล : มีเพียงร้อยละ 11.45 ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ และร้อยละ 4.66 ระบุว่า ไว้วางใจมาก
ที่สำคัญ ร้อยละ 54.58 ระบุว่า ไม่ไว้วางใจรัฐบาลเลย และร้อยละ 29.01 ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจรัฐบาล
ซึ่งหากรวมที่ไม่ไว้ใจรัฐบาลเลยและไม่ค่อยไว้ใจ รวมไม่ไว้วางใจรัฐบาลจะสูงถึง 84% !!!!
มันขัดแย้งกับที่นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์อ้างในหนังสือชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า กลับมาบริหารแล้วจะมีผลดีอย่างนั้นอย่างนี้
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2568 ประชาชนออกมาชุมนุมมืดฟ้ามัวดิน ให้นายกฯลาออกไปโดยทันที
ผลสำรวจนิด้าโพล “การเมืองไทยไปต่อแบบไหนดี” ก็ตอกย้ำว่า ประชาชนต้องการให้แพทองธาร ลาออก 42.37% และยุบสภา 39.92% รวมที่ให้พ้นตำแหน่งไปมากกว่า 80%
ขัดแย้งกับที่นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์อ้างว่า ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของตําแหน่งนายกฯ หรือบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนในความสุจริตและเหมาะสมในการดํารงตําแหน่งของข้าพเจ้าแต่ประการใด
อย่างไรก็ตาม มีนักกฎหมายให้มุมมอง ประเมินคำชี้แจงของนายกฯ ระบุว่า “ประเมิน 11 ข้อชี้แจง “แพทองธาร”สอบตก ได้ต่ำกว่า 0 คะแนน ใน 2 ประเด็นสำคัญ”
โดยคุณ “นิรชน ชัยธรรม” เผยแพร่ความเห็นผ่านสำนักข่าวอิศรา
สรุปประเด็นสาระสำคัญบางส่วน ดังนี้
คำชี้แจงของนางสาวแพทองธาร ประมาณ 80 หน้า สรุปเป็นประเด็นที่น่าสนใจได้ 11 ประเด็น
ถ้าประเด็นใดชี้แจงดี ฟังขึ้น หักล้างข้อกล่าวหาของผู้ร้องได้หมดสิ้น ให้ได้คะแนนเต็ม 10 คะแนน
ถ้าชี้แจงฟังไม่ขึ้น ก็ได้คะแนนลดหลั่นลงไป
นอกจากนี้ หากคำชี้แจงประเด็นนั้น กลับทำให้คำร้องมีน้ำหนักมากขึ้น ซึ่งเป็นผลลบต่อนางสาวแพทองธารขึ้นอีก ให้ได้ต่ำกว่า 0 คะแนน หรือติดลบ โดยมีช่วงคะแนนจากน้อยไปหามากคือ ต่ำกว่า 0 คะแนน ส่งผลไม่ดี, 0 คะแนน ไม่ส่งผลใดๆ 1-4 คะแนน ส่งผลดีน้อยมาก, 5-7 ส่งผลดีปานกลาง และ 8-10 คะแนน ส่งผลดีมาก
“ประเด็นที่ 1 ผู้ร้องกล่าวหาว่า การเจรจาเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งและการสู้รบระหว่างประเทศ สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอนและวิธีการเจรจาทางการทูต ไม่มีเหตุผลความที่จะต้องแอบเจรจากันเป็นการส่วนตัว
คำชี้แจงสรุปได้ว่า ในการเจรจากิจการระหว่างประเทศ บางครั้งอาจจำเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนเงื่อนไขบางประการ การเจรจาในลักษณะสายตรงระหว่างผู้นำ หรือสายด่วนผู้นำ (Leader to Leader Hotline) เป็นวิธีการเจรจาอย่างไม่เป็นทางการที่มีประสิทธิภาพและใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก การสนทนาครั้งนี้ก็เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับผู้นำประเทศอื่นๆและอยู่ภายใต้กรอบการเจรจาที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศเป็นสำคัญ เมื่อความพยายามของนายฮวดในการติดต่อเพื่อขอเจรจากับสมเด็จฮุนเซน ทางโทรศัพท์ไม่เกิดขึ้น แต่ในเวลาต่อมาเมื่ออยู่เพียงลําพัง นายฮวดได้โทรศัพท์กลับมาและขอให้มีการเจรจาแบบการสนทนาทางโทรศัพท์ร่วม การเจรจาแบบส่วนตัวจึงเกิดขึ้นซึ่งเป็นไปตามแนวทางที่จะต้องพูดคุยกับสมเด็จฮุนเซน อยู่แล้วเช่นเดียวกับกรณีที่รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) รมว.ต่างประเทศ (นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์) และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) จะยังอยู่ร่วมด้วยในการเจรจา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเจตนาบริสุทธิ์และไม่ได้มีเจตนาที่จะแอบเจรจากันดังที่ผู้ร้องกล่าวหา
คะแนนแบบเข้มงวด = 6
คะแนนแบบผ่อนปรน = 8
เหตุผลการให้คะแนน : วิธีการเจรจาอย่างไม่เป็นทางการได้รับการยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายตามคำชี้แจง แต่ประเด็นนี้ส่งผลต่อการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ให้พ้นตำแหน่งไม่มาก
...
ประเด็นที่ 2 ผู้ร้องกล่าวหาว่า ไม่ควรเรียกผู้นำประเทศที่กำลังมีการปะทะกันทางการทหารหรือสภาวะสงครามที่มีความขัดแย้งกันทางบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยว่า uncle (แปลว่า คุณลุง)
คำชี้แจงสรุปได้ว่า บทสนทนาดังกล่าวเป็นไปในลักษณะของการแสดงเจตนารมณ์เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียด การเรียกสมเด็จฮุนเซน ว่า “uncle” เป็นการแสดงความเคารพในวัยวุฒิแก่คู่เจรจา และเป็นมารยาทที่รักษาปฏิบัติเรื่อยมาเป็นปกติวิสัยในการเจรจากับคู่สนทนาอย่างไม่เป็นทางการ...
คะแนนแบบเข้มงวด = 6
คะแนนแบบผ่อนปรน = 8
เหตุผลการให้คะแนน : การเรียกบุคคลที่อาวุโสกว่าโดยใช้สรรพนามเสมือนเป็นญาติผู้ใหญ่เป็นรูปแบบที่ใช้เรียกกันในสังคมไทย แต่การเจรจากับผู้นำต่างประเทศแม้จะไม่เป็นทางการควรใช้สรรพนามอย่างเป็นทางการ คำชี้แจงประเด็นนี้ส่งผลต่อการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ให้พ้นตำแหน่งไม่มาก
...
ประเด็นที่ 3 ผู้ร้องกล่าวหาว่า ไม่ควรกล่าวว่า “จริงๆ แล้ว ถ้าท่านอยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้”
คำชี้แจงสรุปได้ว่า ถ้อยคำว่า “อยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้” มีแต่เพียงเจตนาที่ต้องการให้คู่เจรจาได้เสนอเงื่อนไขหรือความต้องการออกมาก่อนซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการเจรจาเชิงผลประโยชน์ (Principled Negotiation) โดยการใช้เทคนิคสำคัญคือการตั้งคำถามเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริง (Interest-Based) ในลักษณะไม่โจมตีจุดยืนของคู่เจรจา แต่มุ่งทำความเข้าใจความต้องการที่อยู่เบื้องหลังมากขึ้น เพื่อจะได้นำมาพิจารณาเจรจาต่อรองเงื่อนไข ที่จะนำไปสู่การยุติความตึงเครียดที่เกิดขึ้น โดยไม่ได้มีเจตนาที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขที่เสนอมาทุกกรณีแต่อย่างใด จะต้องนำเงื่อนไขไปพูดคุยกับฝ่ายความมั่นคงของไทยก่อนเพื่อร่วมกันพิจารณาและตัดสินใจ
คะแนนแบบเข้มงวด = -2
คะแนนแบบผ่อนปรน = 2
เหตุผลการให้คะแนน : คำพูดที่ว่า อยากได้อะไรให้บอกมาได้เลย แม้จะเป็นไปตามหลักการเจรจาเชิงผลประโยชน์ เพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริง อาจจะสามารถนำมาใช้กับการเจรจาครั้งนี้ได้อยู่บ้าง
แต่เมื่อตามมาด้วยคำพูดว่า เดี๋ยวจะจัดการให้ ทำให้ดูเสมือนว่าประเทศไทยอยู่ในสถานะเป็นเบี้ยล่างของประเทศคู่กรณี ที่นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยพร้อมจะทำทุกเรื่องตามที่ประเทศคู่กรณีบอกมา
ซึ่งยังเป็นข้อสงสัยของประชาชนโดยทั่วไปว่า การจะจัดการให้กับประเทศคู่กรณีทุกเรื่อง เป็นไปเพื่อแลกเปลี่ยนกับความสงบบริเวณชายแดนแต่เพียงอย่างเดียวหรือไม่
จึงเป็นการโอนอ่อนผ่อนตามผู้นำประเทศคู่กรณีเกินสมควรกว่าเหตุ ซึ่งบุคคลในระดับนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยที่เป็นประเทศที่มีระดับการพัฒนาสูงกว่า ไม่ควรที่จะใช้คำพูดเช่นนี้กับประเทศคู่กรณีที่มีความด้อยกว่าในทุกเรื่อง อันเป็นการไม่รักษาเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ตามมาตรฐานทางจริยธรรมที่มีความสำคัญ ในข้อ 6 การชี้แจงโดยอ้างหลักการเจรจาเชิงผลประโยชน์ไม่สามารถหักล้างข้อกล่าวหานี้ได้ กลับทำให้มีผลในทางลบต่อนางสาวแพทองธารยิ่งขึ้น และการชี้แจงว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขที่เสนอมาทุกกรณีแต่อย่างใด แสดงถึงความไม่ซื่อตรงในคำพูด อันเป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ตามมาตรฐานทางจริยธรรมที่มีความสำคัญ ในข้อ 8 และเป็นคุณสมบัติรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4)
...
ประเด็นที่ 4 ผู้ร้องกล่าวหาว่า ไม่ควรเรียกแม่ทัพภาคที่ 2 ของไทย ซึ่งเป็นผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่อย่างเข้มแข็งเพื่อประเทศชาติและประชาชนว่า “ฝั่งตรงข้าม”
คำชี้แจงสรุปได้ว่า ถ้อยคำที่กล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) ว่าเป็น“ฝั่งตรงข้าม” นั้น เนื่องมาจากความไม่พอใจของสมเด็จฮุนเซน ที่มีต่อแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นการเฉพาะเจาะจงจึงจำต้องใช้เทคนิคการเจรจาที่แบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล ไม่ได้เป็นการตำหนิติเตียนในทางลบหรือแสดงให้เห็นว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลไทยแต่อย่างใด...
คะแนนแบบเข้มงวด = -2
คะแนนแบบผ่อนปรน = 2
เหตุผลการให้คะแนน : การพูดในขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยกล่าวถึงผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารในระดับแม่ทัพภาคที่ควบคุมพื้นที่ 1 ใน 4 ของประเทศ และอยู่ใต้บังคับบัญชาของตนเองลงไปตามลำดับชั้น โดยคำพูดมีความหมายว่า แม่ทัพภาคที่ 2 อยู่ฝั่งหนึ่ง โดยมีตนเองและผู้นำประเทศคู่กรณีรวมกันเรียกว่า “เรา” อยู่ฝั่งตรงข้ามกับแม่ทัพภาคที่ 2 แห่งกองทัพไทย
โดยท่อนแรกที่พูดว่า “ไม่อยากให้อังเคิลไปฟังคนตรงข้ามกับเรา อย่างพวกแม่ทัพภาค 2” เป็นการแสดงให้เห็นว่ามีความแตกแยกภายในประเทศไทย โดยมีการแบ่งประชาชนออกเป็น 2 ฝั่ง คือฝั่งที่เห็นด้วยกับการกระทำของประเทศคู่กรณี และฝั่งที่ไม่เห็นด้วย ซึ่งตนเองอยู่ฝั่งเดียวกับที่เห็นด้วยกับการกระทำของประเทศคู่กรณี
คำพูดท่อนที่ 2 “เขาอยากจะดูเท่” และคำพูดท่อนที่ 3 “เขาก็พูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ” เป็นการด้อยค่านายทหารระดับสูงที่ทำหน้าที่ป้องกันชายแดนที่ติดกับประเทศคู่กรณี เพื่อย้ำให้เห็นว่าตนเองอยู่ฝั่งเดียวกับประเทศคู่กรณีแต่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับทหารในประเทศของตนเอง
โดยคำชี้แจงระบุว่า มีความจำเป็นต้องสื่อสารเพื่อแยกบทบาทฝ่ายบริหารออกจากฝ่ายความมั่นคง และการชี้แจงว่าเป็นการใช้เทคนิคการเจรจาที่แบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล ซึ่งไม่อาจหักล้างคำพูดที่แสดงถึงความแตกแยกระหว่างนายกรัฐมนตรีที่ตนเองดำรงตำแหน่งอยู่ กับผู้บังคับบัญชาหน่วยทหาร
แต่กลับเป็นการชี้ชัดลงไปอีกถึงการแบ่งแยก และการชี้แจงว่าจำต้องใช้เทคนิคการเจรจาที่แบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล ก็ไม่อาจหักล้างคำพูดที่เกิดขึ้นได้ ยังคงเป็นคำพูดที่กระทบกระเทือนต่อความมั่นคง อันเป็นการไม่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งเป็นมาตรฐานทางจริยธรรมที่มีความสำคัญ ในข้อ 8 อีกส่วนหนึ่งโดยเป็นคำชี้แจงที่ส่งผลต่อการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ให้พ้นตำแหน่งของนางสาวแพทองธารในทางลบมากกว่าทางบวก
...
เนื้อหาข้างต้น ยกมาให้ท่านผู้อ่านร่วมพิจารณาแค่บางประเด็น เฉพาะที่สำคัญๆ เท่านั้น
คุณ “นิรชน ชัยธรรม” สรุปทั้ง 11 ประเด็นชี้แจงว่า
“...การให้คะแนนแบบºเข้มงวด... จะเห็นได้ว่า การประเมินภาพรวมของคำชี้แจงจะได้ 26.36 % และการประเมินรายประเด็น ได้คะแนนตั้งแต่ 5 คะแนนขึ้นไป 4 ประเด็น และต่ำกว่า 5 คะแนนลงมา 7 ประเด็น
ถือว่าการประเมินแบบเข้มงวด สอบตกทั้งหมด
ส่วนการให้คะแนนแบบผ่อนปรน... ภาพรวมจะได้ 51.82 % ส่วนรายประเด็นได้คะแนนตั้ง 5 คะแนนขึ้นไป 7 ประเด็น และต่ำกว่า 5 คะแนนลงมา 4 ประเด็น ถือว่าสอบผ่าน
แต่มี 2 ประเด็นสำคัญ ที่การให้คะแนนแบบเข้มงวด ติดลบ 2 คะแนน และแบบผ่อนปรน ได้คะแนนน้อยมากเพียง 2 คะแนน คือประเด็นที่ 3 ที่กล่าวว่า อยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยเดี๋ยวจะจัดการให้ และประเด็นที่ 4 ที่กล่าวว่า แม่ทัพภาคที่ 2 อยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ควรกล่าวถึงความแตกแยกภายในประเทศต่อผู้นำต่างประเทศที่เป็นคู่กรณี ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังประชาชน ที่อาจเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม
แม้มีเพียงประเด็นใดประเด็นหนึ่งที่แสดงถึงการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ก็เพียงพอที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้แล้ว”
สรุป สอบตก สมควรต้องพ้นจากตำแหน่งไป
อย่าลืมว่า เก้าอี้นายกฯ ไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของตระกูลใด
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี