จนป่านนี้ การพิจารณาตัดสินใจเกี่ยวกับการแก้สัญญาร่วมทุนฯ “รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน” ก็ยังไม่เสร็จสิ้น
จะยกเลิกสัญญา เพื่อกลับไปเริ่มต้นประมูลใหม่ หรือจะแก้ไขเพื่อให้คู่สัญญาเดิมไปต่อได้อย่างไร ก็ยังคาราคาซัง
แน่นอน จะส่งผลกระทบต่อไปยังโครงการเมืองการบินฯ โครงการพัฒนาในพื้นที่อีอีซี ฯลฯ
1. ล่าสุด นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผยว่า จากที่ ร.ฟ.ท.ได้ส่งร่างสัญญาร่วมลงทุนฉบับแก้ไข โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง - สุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กม. วงเงิน 224,544 ล้านบาท ที่มีบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด (ซี.พี.) เป็นผู้รับสัมปทาน ระยะเวลา 50 ปี ให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจสอบตั้งแต่เมื่อเดือนเม.ย. 2568 ที่ผ่านมา
เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2568 สำนักงานอัยการสูงสุด ได้ส่งร่างสัญญาฯ ดังกล่าวกลับมาที่ ร.ฟ.ท.แล้ว
ขณะนี้ ร.ฟ.ท. กำลังดูรายละเอียดความเห็นของอัยการสูงสุด
และในวันนี้ (18 ส.ค. 2568) คณะทำงานแก้ไขสัญญาโครงการฯ ที่มี นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าฯร.ฟ.ท.เป็นประธาน จะนัดหมาย บจ.เอเชีย เอรา วัน มารับทราบความเห็นจากอัยการสูงสุดและร่วมวิเคราะห์หารือในรายละเอียดร่วมกันต่อไป
รายงานข่าว แจ้งว่า หนังสือจากอัยการสัญญานั้น มีหนังสือนำ1 ฉบับ และมีร่างสัญญาที่แก้ไขอีก 1 ฉบับ
เบื้องต้น มีความเห็นแก้ไขจากอัยการประมาณ 10 ข้อ และอัยการเห็นว่า ควรแก้ไขหลักการให้เสร็จก่อนค่อยแก้สัญญา แต่ในส่วนของร.ฟ.ท.และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ EEC มีความเห็นตรงกันว่า หากการแก้ไขสัญญามีผลต่อหลักการเดิมของมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เห็นชอบไปแล้ว ก็จะขอแก้ไขหลักการและแก้ไขร่างสัญญา ไปพร้อมๆ กันได้
“ประเด็นตอนนี้คือ อัยการมีความเห็นว่า การแก้ไขร่างสัญญา อาจขัดกับหลักการหรือไม่ และรัฐต้องไม่เสียประโยชน์ ซึ่งเมื่ออัยการสูงสุดมีความเห็นมา ร.ฟ.ท.จะนำทุกประเด็นมาพิจารณาเพื่อยืนยันว่า ที่ได้ดำเนินการแก้ไขมานั้นไม่ขัดต่อหลักการ และต้องนำเสนอให้ครบถ้วน แต่หากพิจารณาแล้วขัดต่อหลักการตามความเห็นของอัยการสูงสุด ก็ต้องมีการแก้ไขหลักการ ก็จะนำเสนอเพื่อพิจารณาไปพร้อมกัน ทั้งแก้ไขหลักการและแก้ไขร่างสัญญาเพื่อไม่ให้ล่าช้า”
2. รายงานข่าวระบุว่า ประเด็นความเห็นอัยการสูงสุด เกี่ยวกับการแก้ไขสัญญา ที่อาจขัดต่อหลักการสัญญา เช่น
(1) กรณีแก้ไขเงื่อนไข การชำระค่าสิทธิให้ร่วมลงทุนในโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) โดยให้เอกชนแบ่งชำระค่าสิทธิจำนวน 10,671.09 ล้านบาท เป็น 7 งวด เป็นรายปี จำนวนเท่าๆ กัน โดยต้องชำระงวดแรก ณ วันที่ลงนามแก้ไขสัญญา
อัยการสูงสุดมองว่า ถ้าเอกชนยังจ่ายค่าใช้สิทธิ์ไม่ครบถ้วนก็ไม่ควรจะได้สิทธิ์บริหารโครงการ
ซึ่ง ร.ฟ.ท. จะยืนยันว่า เงื่อนไขเดิมให้ชำระค่าสิทธิ์เป็นเงินสดงวดเดียว แต่จะแก้เป็นแบ่งชำระเหมือนผ่อนจ่าย โดยมีข้อตกลง และมีหลักประกันเอาไว้ด้วย
(2) กรณี แก้ไขปรับวิธีการชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการฯ (Public Investment Cost : PIC) ทั้งโครงการ จากเดิมกำหนดชำระเงินเมื่อก่อสร้างโครงการฯ แล้วเสร็จและเริ่มเปิดให้บริการเดินรถ แล้ว จำนวนไม่เกิน 149,650 ล้านบาท เป็นโดยรัฐต้องจ่ายเร็วขึ้นตามจ่ายเป็นงวด ตามความก้าวหน้าของงานก่อสร้างที่ ร.ฟ.ท. ตรวจรับ ซึ่งวงเงินรวมเป็น 125,932.54 ล้านบาท เป็นวิธีสร้างไปจ่ายไป ซึ่งทำให้รัฐประหยัดค่าดอกเบี้ยได้ประมาณ 24,000 ล้านบาท
อัยการสูงสุด มีความเห็นว่า อาจจะขัดกับหลักการที่แก้ไขด้วยหรือไม่
ซึ่งหลักการตามสัญญาได้รับการอนุมัติจากมติครม.อยู่แล้ว ร.ฟ.ท.จึงอยากให้ระบุว่าสิ่งที่แก้ไขขัดกับหลักการหรือไม่ ถ้าขัดกับหลักการจะได้ไปแจ้งครม. เพื่อขอปรับแก้มติเดิม
3. รายงานข่าวระบุด้วยว่า มีการเตรียมแผนงานในการนำเสนอแก้ไขสัญญาไว้ 2 แบบ
โดยหลังจากหารือในวันที่ 18 ส.ค.นี้ หากวิเคราะห์ความเห็นของอัยการสูงสุดแล้วยืนยันไม่ขัดต่อหลักการที่ครม.มีมติ จะสรุปส่งไปหารือกับ สกพอ.หรือ EEC, คณะกรรมการกำกับสัญญา บอร์ด อีอีซี เสนอครม. ขอแก้ไขสัญญาอย่างเดียว และลงนามแก้ไขสัญญาฯ
แต่หากเห็นว่า แก้ไขสัญญามีผลขัดต่อหลักการที่ครม.เห็นชอบไว้ ก็จะหารือกับ หารือภายในกับ สกพอ. และบอร์ด ร.ฟ.ท. ก่อนจากนั้นจะเสนอ บอร์ดอีอีซีและครม. แก้ไขร่างสัญญาและหลักการ ในคราวเดียว
ร.ฟ.ท.จะเร่งดำเนินการ โดยเคารพความเห็นอัยการสูงสุดและหลักการแนวทางไม่ทำให้รัฐเสียหาย
4. จะเห็นว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงสามสนามบิน ยังพายเรือวนอยู่ในอ่าง
ฝ่ายการเมือง ไม่มีความกระตือรือร้น ที่จะตัดสินใจ และผลักดันโครงการต่อ ไม่ว่าจะแก้สัญญา หรือยกเลิกสัญญา
ไม่มีความกล้าหาญที่จะเลือกทางหนึ่งทางใด
ความจริง โครงการนี้ เป็นโครงการที่ล่าช้า ต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลลุงตู่ เพราะถ้าเป็นไปตามแผนกำหนดเดิมเมื่อครั้งประมูลโครงการ ปี 2561 ปัจจุบัน โครงการควรเปิดให้บริการแล้ว
นักลงทุน นักท่องเที่ยว ประชาชน จะสามารถนั่งรถไฟฟ้าความเร็วสูงจากดอนเมือง สุวรรณภูมิ ไปภาคตะวันออก ชลบุรี พัทยา อู่ตะเภา อย่างสะดวกสบายได้แล้ว
การพัฒนาโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องในพื้นที่อีอีซี ก็จะได้รับอานิสงส์ไปด้วยเช่นเดียวกัน อาทิ เมืองการบินภาคตะวันออก ฯลฯ
แต่ความล่าช้าของโครงการ ปัญหาการส่งมอบพื้นที่ ผนวกกับผลกระทบช่วงโควิด ทำให้โครงการสะดุดหยุดลง จนถึงวันนี้
5. คำถามว่า โครงการจะไปต่ออย่างไร? จะมีการแก้สัญญาสัมปทานตามข้อเรียกร้องของเอกชนคู่สัญญาหรือไม่? อย่างไร?
รัฐบาลปัจจุบัน โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการอีอีซี เคยขายฝันว่าจะนำข้อเสนอแก้ไขสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินฯ เข้าสู่ที่ประชุม ครม. แล้วเดินหน้าตัดสินใจโดยเร็ว แต่สุดท้ายก็ยังวนเวียนอยู่เช่นนี้
กพอ. เคยพิจารณาและมีมติเห็นชอบหลักการการแก้ไขปัญหาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน โดยการปรับปรุงสัญญาร่วมลงทุนเพื่อผลักดันให้โครงการฯ สามารถเดินหน้าต่อไปได้ บนพื้นฐานที่ภาครัฐไม่เสียประโยชน์ และภาคเอกชนไม่ได้ประโยชน์เกินสมควร เสนอการแก้ไขสัญญาต่อ ครม. เพื่อพิจารณาใน 5 ประเด็น ประกอบด้วย
(1) วิธีชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุน (Public Investment Cost : PIC)
จากเดิม เมื่อเอกชนเปิดเดินรถไฟความเร็วสูงฯรัฐจะแบ่งจ่ายเป็นจำนวน 149,650 ล้านบาท
เป็น จ่ายเป็นงวดตามความก้าวหน้าของงานที่ ร.ฟ.ท. ตรวจรับวงเงินไม่เกิน 120,000 ล้านบาท
โดยเอกชนต้องวางหลักประกันเพิ่มเติมจากสัญญาเดิม รวมเป็นจำนวน 160,000 ล้านบาท เพื่อรับประกันว่าจะก่อสร้างและเปิดให้บริการรถไฟความเร็วสูงฯ ได้ภายใน 5 ปี ทั้งนี้ กรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างจะทยอยตกเป็นของภาครัฐ (ร.ฟ.ท.) ทันทีตามงวดของการจ่ายเงิน
(2) กำหนดการชำระค่าสิทธิให้ร่วมลงทุนในโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL)
โดยให้เอกชนแบ่งชำระค่าสิทธิจำนวน 10,671.09 ล้านบาท เป็น 7 งวด เป็นรายปี จำนวนเท่าๆ กัน โดยต้องชำระงวดแรก ณ วันที่ลงนามแก้ไขสัญญา ในการนี้เอกชนจะต้องวางหนังสือค้ำประกันที่ออกโดยธนาคารในมูลค่าเท่ากับค่าสิทธิ ARL รวมถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเงินอื่นที่ ร.ฟ.ท. ต้องรับภาระ
(3) กำหนดส่วนแบ่งผลประโยชน์ตอบแทน (Revenue Sharing) เพิ่มเติม
หากในอนาคตอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของโครงการฯ ลดลงอย่างมีนัยสําคัญ และเป็นผลให้เอกชนได้ผลประโยชน์ตอบแทน (IRR) เพิ่มขึ้นเกิน 5.52% ร.ฟ.ท.มีสิทธิเรียกให้เอกชนชําระส่วนแบ่งผลประโยชน์เพิ่มได้ ตามจำนวนที่จะตกลงกันต่อไป
(4) การยกเว้นเงื่อนไขการออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน(Notice to Proceed : NTP)
โดยให้คู่สัญญาจัดทำบันทึกข้อตกลงยกเว้นเงื่อนไข NTP ที่ยังไม่สำเร็จ เพื่อให้ ร.ฟ.ท. สามารถออก NTP ได้ทันทีเมื่อลงนามสัญญาที่แก้ไขตามหลักการทั้งหมดนี้ ฯลฯ
ถ้าไม่แก้สัญญา? โครงการก็คงไปต่อไม่ได้
สุดท้าย จะต้องไปเริ่มต้นกันใหม่
แน่นอน ผลกระทบก็เกิดแก่เอกชน และประเทศชาติส่วนรวมเป็นลูกโซ่ไปยังโครงการอื่นๆ ในพื้นที่อีอีซีด้วย รวมถึงอาจมีการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายระหว่างกันยาวนาน
ส่วนโครงการก็จะต้องไปเริ่มต้นประมูลกันใหม่ หรืออาจจะเปลี่ยนมาให้ ร.ฟ.ท.ดำเนินโครงการเอง ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ก็ต้องใช้เวลาเริ่มดำเนินโครงการกันใหม่
ปัญหา จึงอยู่ที่ความกล้าหาญในการตัดสินใจของฝ่ายนโยบายในรัฐบาล
ความไร้ผู้นำตัวจริง
ไร้ความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดิน
ขาดความกล้าหาญในการตัดสินใจ
หรือว่ารออะไร มีใครรอค่าป่วยการอะไรหรือไม่?
ใครเข้ามาเป็นรัฐบาล ตามวาระส่วนตัวของตัวเอง ไม่สนใจเรื่องใหญ่ๆ ของประเทศชาติ ที่รอการตัดสินใจแก้ปัญหาอย่างกล้าหาญ เด็ดขาด เพื่อประเทศชาติส่วนรวม
ผลกรรมก็เลยตกแก่ประเทศชาติ เสียเวลา เสียโอกาสต่อไปเช่นนี้
และจะตามมาด้วยการเสียค่าโง่อีกหรือไม่ ?
รอติดตามต่อไป
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี