ประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน และประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์มีกำหนดพบกันในวันนี้ (วันศุกร์ 15 สิงหาคม) ที่อะแลสกา
เป็นการประชุมสุดยอดระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซียเพื่อหารือเกี่ยวกับความพยายามในการยุติสงคราม
1. ทรัมป์ ระบุว่า ทั้งสองฝ่ายจะต้องแลกเปลี่ยนดินแดนบางส่วนที่ถือครองอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้การยุติสงครามเกิดขึ้นจริง
พูดง่ายๆ คือ เมื่อหยุดยิงกัน พื้นที่ๆแต่ละฝ่ายยึดครองอยู่ในวันนี้ ก็จะต้องตกลงว่าใครเป็นเจ้าของ เพราะถ้าไม่ยอมรับ มันก็ต้องสู้รบกันต่อไปเรื่อยๆ
ซึ่งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะยึดครองพื้นที่ได้เพิ่มขึ้น หรือลดลง ขึ้นอยู่กับผลการรบ
เพราะฉะนั้น ถ้าจะหยุดรบ หยุดยิง ทั้งสองฝ่ายก็ต้องตกลงยอมรับกันให้ได้ว่า หยุดตรงนี้ จบตรงนี้
เพียงแต่ว่าจะเจรจายอมรับกันได้พื้นที่ไหนอย่างไร ขึ้นอยู่กับการเจรจา
2. สำนักข่าว AFP ได้นำเสนอข้อมูลผลการวิเคราะห์ โดยใช้ข้อมูลจากสถาบันศึกษาสงคราม หรือ ISW มีฐานอยู่ในสหรัฐฯ
ระบุว่า กองทัพรัสเซีย อ้างสิทธิ์หรือยึดดินแดนยูเครนอีก 110 ตารางกิโลเมตร เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม เมื่อเทียบกับวันก่อน (ภายในวันเดียว)
นับเป็นขนาดพื้นที่มากที่สุดที่อ้างว่ายึดเพิ่มได้รายวันนับจากปลายเดือนพฤษภาคม 2567
รัสเซียมักใช้เวลา 5 หรือ 6 วันในการรุกคืบในอัตรานี้แต่รัสเซียรุกหนักมากในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะประชุมกับประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน ในวันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม
เอเอฟพี รายงานด้วยว่า การรุกคืบยูเครนในปีนี้ ราว 70% อยู่ในแคว้นโดเนตสก์ ทางตะวันออก ซึ่งรัสเซียอ้างว่าได้ผนวกเป็นดินแดนของตนแล้วเมื่อกันยายน 2565 ถึงวันที่ 12 สิงหาคม รัสเซียควบคุม หรืออ้างว่าควบคุมพื้นที่ในโดเนตสก์ 79% เพิ่มจาก 62% เมื่อหนึ่งปีก่อน
กองทัพรัสเซียยังกำลังพยายามยึดเมืองโปครอฟสก์ ให้ได้หลังใช้ความพยายามมานาน 18 เดือน
หากนับจาก 12 สิงหาคม 2567 ถึง 12 สิงหาคม 2568 กองทัพรัสเซียยึดพื้นที่ได้กว่า 6 พัน 100 กิโลเมตร มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 4 เท่า
พูดง่ายๆ ว่า ดูเหมือนรัสเซียจะเร่งเครื่องหนักในช่วงสัปดาห์สุดท้าย ก่อนนัดคุยกับผู้นำสหรัฐ
คล้ายช่วงก่อนจะหยุดยิงไทย-กัมพูชา ที่ทั้งสองฝ่ายต่างเร่งเครื่อง เพื่อยึดพื้นที่ให้ได้มากที่สุด ก่อนหยุดยิง
3. จุดยืนของรัสเซียก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับรูปแบบข้อตกลงที่เป็นไปได้ คือ ยูเครนจะต้องถอนทหารออกจากพื้นที่ที่ยังคงควบคุมอยู่ในโดเนตสก์ ซาปอริซเซีย และเคอร์ซอน
ยกเลิกแผนการเข้าร่วมนาโต ตั้งใจที่จะคงความเป็นกลางและไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
สิทธิและเสรีภาพของผู้พูดภาษารัสเซียในยูเครน จะต้องได้รับการรับรอง
และยูเครนต้องยอมรับ “ความเป็นจริง” ที่ว่าไครเมียลูฮันสก์ โดเนตสก์ ซาปอริซเซีย และเคอร์ซอน เป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียแล้ว
ซึ่งจากแนวรบปัจจุบัน ข้อเรียกร้องของปูติน จะทำให้ยูเครนต้องเสียพื้นที่เพิ่มอีก 21,000 ตารางกิโลเมตร (8,100 ตารางไมล์) ให้กับรัสเซีย
4. จุดยืนยูเครนก่อนหน้านี้ ยืนยันว่าไม่ยอมรับการยึดครองดินแดนของรัสเซีย
ประธานาธิบดี โวโลดีเมียร์ เซเลนสกี กล่าวว่ารัสเซียต้องตกลงหยุดยิงก่อนที่จะมีการหารือเกี่ยวกับประเด็นเรื่องดินแดน พร้อมปฏิเสธข้อเสนอใดๆ ของรัสเซียที่ให้ยูเครนต้องถอนกำลังทหารออกจากภูมิภาคดอนบาสตะวันออก และยอมสละแนวป้องกัน
ล่าสุด เซเลนสกีเดินทางไปเยอรมนีเพื่อประชุมกับผู้นำเยอรมนี และร่วมประชุมทางไกลผ่านวีดีโอคอนเฟอเรนซ์กับผู้นำอังกฤษ ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส อิตาลี โปแลนด์ เลขาธิการนาโต และประธานกรรมาธิการยุโรป
ประธานาธิบดีทรัมป์ จะหารือกับเซเลนสกีและชาติพันธมิตร ก่อนจะไปคุยกับปูติน
เซเลนสกียังย้ำว่า เป็นไปไม่ได้ที่ยูเครนจะถอนกำลังออกจากดอนบาส หรือ รับรองดินแดนฯ ที่รัสเซียยึดครอง
5. แฟนเพจข่าวสารต่างประเทศชื่อ “ซิริอุส เป็นชื่อของดวงดาว” ขมวดข้อมูลไว้น่าสนใจ
บางส่วนระบุว่า
“...นักข่าวได้ถามทรัมป์ว่า หากปูตินไม่ยอมตกลงยุติความขัดแย้ง จะมีผลลัพธ์ต่อรัสเซียตามมาหรือไม่?
ทรัมป์บอกว่า ใช่ รัสเซียจะเจอผลลัพธ์อย่างร้ายแรง
เผื่อใครยังไม่รู้ (ครั้งที่ไม่รู้กี่สิบแล้ว) ..... ที่ผ่านมาทรัมป์กดดัน/บีบเซเลนสกีฝ่ายเดียวมาตลอด
ทรัมป์ไม่ให้ราคาเซเลนสกีมาตั้งแต่แรก แล้วเค้าก็ชัดมาตลอดว่า ไม่ใช่หน้าที่ของเค้าที่ต้องไปทวงดินแดนที่เสียไปคืนให้ยูเครน
แต่จะเจรจายุติสงครามฯโดยยึดเอาตามอาณาเขตสนามรบในปัจจุบัน เพราะทรัมป์มองว่าสงครามครั้งนี้หลีกเลี่ยงได้ตั้งแต่แรก
หลังเกิดสงครามแล้วก็มีโอกาสยุติได้หลายครั้ง แต่เซเลนสกีตัดสินใจผิดเอง นำยูเครนมาสู่จุดนี้ และ ยูเครนเองก็ไม่ได้มีความสามารถที่จะทำสงครามได้เองตั้งแต่แรกแล้ว
แต่ที่ยังทำสงครามได้มาจนถึงตอนนี้ก็เป็นเพราะไบเดน ผู้นำสหรัฐคนก่อน(คู่แข่งของทรัมป์) และ เหล่าผู้นำยุโรปให้การช่วยเหลือฯ
... ประมาณ อารากอร์น เลโกลัส และ กิมลี ให้คำมั่นกับโฟรโด ว่า “You Have My Sword, and My Bow, and My Axe” ..... แต่ต่างกันที่ไบเดนและผู้นำยุโรปไม่ได้ไปร่วมผจญภัยเสี่ยงอันตรายด้วย แต่มอบ My Sword My Bow and My Axe ให้ชาวยูเครนถือไปรบกับรัสเซียเอง
อย่างไรก็ตาม การที่ทรัมป์เข้าแทรกแซงฯ จะเจรจาโดยยึดเอาตามอาณาเขตในสนามรบในปัจจุบัน ในทางหนึ่งก็เป็นการช่วยยูเครนไม่ให้สูญเสียทั้งดินแดน ทรัพยากร ชีวิตชาวยูเครนฯลฯ ไปมากกว่านี้แล้วจะช่วยเจรจาให้ได้เงื่อนไขที่ไม่แย่มากเกินไป ในฐานะที่เป็นฝ่ายย่ำแย่/ฝ่ายแพ้
.. ตอนนี้ สถานการณ์ในสนามรบของยูเครนไม่ดีเลยนะ มีนักวิเคราะห์รายหนึ่งให้ข้อมูลไว้น่าสนใจ ไว้ไม่ขี้เกียจจะเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไป
ส่วนการพบกันของทรัมป์กับปูตินที่กำลังจะมีขึ้น เชื่อว่ามาจากการที่มีสัญญาณเป็นบวกจากปูตินผ่านทูตพิเศษที่ทรัมป์ส่งไปคุยกับปูตินเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ก่อนเส้นตุยการคว่ำบาตรรัสเซียที่ทรัมป์ประกาศไว้
“เดาว่า” มีการลดเงื่อนไขลงจากที่รัสเซียเคยประกาศไว้ ซึ่งจะเป็นอะไรตรงไหน ซิริอุสไม่รู้ ..... แต่ถ้าเอาตามข่าวว่าเบื้องต้นอาจจะมีการแลกเปลี่ยนดินแดนในส่วนที่ยูเครนยังคงครองอยู่ที่ดอนบาสราวๆ 20%-30% แลกกับตรงไหนหรืออะไร ยังไม่รู้ ยังไม่แน่ชัด แล้วรัสเซียจะตกลงหยุดยิง ทั้งสองฝ่ายรักษาดินแดนที่ยึดครองอยู่ ฯลฯ เพื่อเข้าสู่การเจรจาในเฟสต่อไป
..... ถ้าเป็นไปตามนี้ ก็แปลว่ารัสเซียยอมถอยลงให้แล้วจากเงื่อนไขเดิมที่เคยประกาศไว้
(แบบนี้เรียกว่า หยุดยิงแบบมีเงื่อนไข/conditional ceasefire
ไม่ใช่ หยุดยิงแบบไม่มีเงื่อนไข/unconditional ceasefire ที่ยุโรปเรียกร้อง/ยื่นคำขาดต่อรัสเซีย หรือ ตัวอย่างใกล้ๆก็ ...... ไม่เอาดีกว่า หยุดไว้แค่นี้พอ)...
...การที่ทรัมป์กับปูตินจะเดินทางไปพบปะพูดคุยด้วยตัวเองที่ต่างฝ่ายต่างต้องมีข้อเสนอไป ก็อ่านได้อีกว่า มีโอกาสที่จะมีความคืบหน้าไปจนถึงตกลงกันได้
ถ้าไม่มีโอกาสที่อย่างน้อยๆจะมีความคืบหน้าเลย ก็ยากที่คนระดับทรัมป์กับปูตินจะออกโรงเอง .....
เซเลนสกีกับยุโรปถึงนั่งกันไม่ติด ถ้าทรัมป์เห็นว่าเงื่อนไขของสหรัฐและรัสเซียสมเหตุสมผลแล้ว เซเลนสกีจะอยู่ต่อยากทันที
ส่วนทางยุโรปก็ยังติดอาวุธเสริมศักยภาพกองทัพยังไม่ได้ตามเป้าหมายฯ
..... หรือ อาจจะเป็นความพยายามครั้งสุดท้ายของทรัมป์ก่อนจะตัดสินใจอะไรสักอย่างก็ได้ .....
หรืออาจเป็นความพยายามครั้งสุดท้ายของทั้งทรัมป์และปูตินเลยก็ได้
แต่ไม่ว่าอย่างไร จะเป็นการหยุดยิงหรือยุติสงคราม เงื่อนไขที่เซเลนสกีจะได้รับในตอนนี้ ไม่มีทางดีกว่าข้อเสนอของรัสเซียก่อนที่จะทำการบุก และ การเจรจาฯ ในช่วงต้นของสงครามแน่
ในตอนนั้น ยูเครนสามารถรักษาดินแดนได้ทั้งหมด(ยกเว้นไครเมีย)บวกกับความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจ ฯลฯ แลกกับการรักษาความเป็นกลาง ไม่เข้าร่วมนาโตหรือบล็อกการทหารใดๆ แต่เปิดกว้างให้เข้าร่วมอียูได้ ฯลฯ ไม่เลือกปฎิบัติ ไม่กีดกัน ให้ความคุ้มครองกลุ่มชาติพันธ์รัสเซีย ภาษารัสเซีย ฯลฯ
ถึงตอนนี้ นาโตก็ยังเข้าไม่ได้ แล้วก็ยากที่จะเข้าร่วมฯ ได้ เพราะยูเครนจะเข้าได้ก็ต่อเมื่อ ยูเครนสามารถพลิกสถานการณ์เอาชนะรัสเซียในสนามรบ หรือ มีการบีบ/กดดันเศรษฐกิจรัสเซีย ในระดับที่สามารถทำให้รัสเซียยอมยุติสงครามด้วยเงื่อนไขของผู้นำยุโรปและยูเครน
แต่ตอนนี้ แม้แต่อียู ยูเครนก็ยังเข้าร่วมฯยากเลย ..... ลุงโอร์บานนายกฯฮังการี บอกแล้วว่า จะบล็อคการเข้าเป็นสมาชิกของยูเครนแน่ เพราะจะกระทบกับเกษตรกรของฮังการี และ (เอาเป็นภาษาชาวบ้าน)ยูเครนเข้ามาก็เป็นตัวถ่วง เป็นตัว“หาร/÷” ไม่ได้ “contribute” อะไรให้อียู แต่จะกลายเป็นอียูต้องไปช่วยแบก นี่ขนาดยังไม่ได้เป็นสมาชิกฯ อียูก็เอาเงินของผู้เสียภาษีชาวฮังการีและยุโรปไปอุ้มเยอะมากแล้ว...”
6.ช่วงนี้ ผู้นำสหรัฐกำลังพยายามตั้งหลัก สร้างคะแนนนิยม เพื่อเลือกตั้งครั้งต่อไป
พยายามชูเรื่องภาษีทรัมป์ เป็นผลงานเด่น สร้างรายได้เพิ่มมหาศาล ทำให้ประเทศกลับเป็นมหาอำนาจโลก หลายประเทศซูฮก แจ้นเข้ามาเจรจา
พยายามสร้างภาพลักษณ์ “ประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ”
เป็นตัวกลางเจรจาสงบศึกในหลายภูมิภาค
แม้แต่ศึกชายแดนไทย-กัมพูชา
ทรัมป์ได้นำเอาท่าทีของผู้นำประเทศต่างๆ ที่ตนเข้าไปช่วยเหลือ แล้วเสนอให้ตนเองได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ นำเสนอเป็นแคมเปญจริงจัง
เรียกว่า เปิดเยความต้องการว่า อยากได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพมาก
เพื่อเสริมภาพลักษณ์ผู้นำโลก ผู้ยิ่งใหญ่ เพื่อกลบปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐเอง
สังเกตให้ดี.. รายชื่อผู้นำประเทศที่เสนอให้ทรัมป์ได้รับรางวัลโนเบล มีชื่อ นายกฯ ฮุน มาเนต ของกัมพูชาด้วย
ผู้นำกัมพูชามือเปื้อนเลือด
เพราะเพิ่งให้ทหารโจมตีประเทศไทย ยิงใส่พื้นที่พลเรือนไทยสังหารเด็ก ผู้หญิง คนชรา เยี่ยงอาชญากรรมสงคราม
เรียกว่า ผู้นำกัมพูชา เอาอกเอาใจสหรัฐเต็มที่
ทำราวกับอยากจะพากัมพูชาเป็นยูเครนแห่งอินโดจีน หรืออยากจะเป็นเซเลนส์กีแห่งเอเชีย
ต้องการดึงสหรัฐมาเป็นเจ้านายใหญ่ เสริมกำลังให้ตัวเอง แลกกับการรับใช้ผลประโยชน์สหรัฐในภูมิภาค หรือไม่?
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์จะเพิ่มโอกาสได้รางวัลโนเบล หากยุติการสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนได้จริงๆ
ทว่าอีกหนึ่งจุดตำหนิสำคัญ ที่น่าจะขัดขวางทรัมป์จากโนเบลสันติภาพ คือ การที่สหรัฐปล่อยให้อิสราเอลยังคงรุกรานเข่นฆ่าชาวปาเลสไตน์ในกาซาต่อไปทุกเมื่อเชื่อวัน
กองกำลังอิสราเอลยังเดินหน้าโจมตีต่อเนื่องและสังหารผู้คนต่อเนื่อง ไม่เว้นแต่ละวัน แม้แต่นักข่าวของสำนักข่าวอัล-จาซีราก็ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม
ล่าสุด นายกรัฐมนตรี แอนโทนี อัลบาเนซี ผู้นำออสเตรเลีย ประกาศเพิ่มออสเตรเลียเข้าไปในรายชื่อประเทศที่มีแผนจะรับรองรัฐปาเลสไตน์ เช่นเดียวกับนานาประเทศก่อนหน้านี้ (ไทยรับรองแล้ว)
นายอัลบาเนซีกล่าวว่า “สถานการณ์ในฉนวนกาซ่า เลวร้ายยิ่งกว่าความหวาดกลัวที่เลวร้ายที่สุดของโลก รัฐบาลอิสราเอลยังคงฝ่าฝืนกฎหมายระหว่างประเทศและปฏิเสธความช่วยเหลืออาหาร และน้ำที่เพียงพอแก่ผู้คนที่สิ้นหวัง รวมถึงเด็กๆ”
ปรากฏว่า ประธานาธิบดีสหรัฐ ยังคงเต็มใจสนับสนุนอิสราเอลต่อไป
แถมยังนำชื่อนายกฯอิสราเอล ที่เสนอชื่อทรัมป์ รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพด้วย นำมาใส่ในแคมเปญข้างต้นอย่างหน้าชื่นตาบานด้วย
สุดท้าย ถ้าได้โนเบลจริง ก็คงเป็นโนเบลมือเปื้อนเลือด จากการสนับสนุนของผู้นำประเทศหลายประเทศที่มีพฤติกรรมอาชญากรรมสงคราม
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี