ปัญหาที่ว่า ฮุนเซนจะต้องการแค่ปราสาท 3 หลัง กับอีกหนึ่งพื้นที่ทางบก จนถึงขนาดก่อเหตุ สร้างเงื่อนไข บานปลายมาจนถึงการสู้รบรุนแรง
ดูจะไม่สมเหตุสมผล
ออกจะไร้น้ำหนักด้วยซ้ำ
มันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น ผลประโยชน์มหาศาลกว่านั้น ถึงพยายามยึดพื้นที่ทางบก ทำทุกวิถีทาง
จนถึงขนาดเกิดภาพว่า ทะเลาะแตกหักกับทักษิณ ชินวัตร
และไม่น่าจะเป็นเพราะว่ารัฐบาลปราบปรามคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา เหมือนที่รัฐบาลพยายามเคลม
เนื่องจากตอนนั้น รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ยังไม่ได้จัดการเด็ดขาดจริงจังกับคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชาเลย ต่างกับที่ต้องทำในเมียนมา เพราะในพื้นที่เมียนมาทางการจีนส่งคนมากำกับติดตามด้วยตนเอง
1. “ทักษิณ ชินวัตร” กล่าวว่า รัฐบาลเพื่อไทยจะต้องเร่งจัดการพื้นที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันของไทยกับกัมพูชา (Overlapping Claims Area หรือ OCA ) เพื่อนำเอาทรัพยากรปิโตรเลียมที่มีอยู่ขึ้นมาใช้โดยแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างกันฝั่งละ 50%
หลังจากนั้น นายกฯอุ๊งอิ๊งค์ก็ขานรับ การแบ่งผลประโยชน์กับฝ่ายกัมพูชาคนละครึ่ง เพราะพื้นที่ทับซ้อน
โดยที่ไม่สนใจว่า การทับซ้อนที่ว่านั้น เกิดจากการอ้างสิทธิ อ้างเส้นของฝ่ายกัมพูชาที่ไม่มีมาตรฐานสากลใดๆ รองรับ ขีดคร่อมเกาะกูดของประเทศไทยเอาเลยด้วยซ้ำ
2. กระทั่งเกิดกรณีคลิปเสียงสนทนา อุ๊งอิ๊งค์กับฮุนเซน อังเคิลอยากได้อะไรก็จะจัดการให้-แม่ทัพภาคที่สองเป็นคนของฝ่ายตรงข้ามกับเรา ฯลฯ
หลังจากนั้น ก็เกิดความตึงเครียดเขม็งเกลียว ฝ่ายกัมพูชาสร้างเงื่อนไข ยั่วยุและเปิดฉากยิงฝ่ายไทย ยิงพื้นที่พลเรือน
เกิดการสู้รบกว่า 10 จุด
ทั้งหมด กัมพูชาต้องการอะไร จึงเปิดฉากรุกพื้นที่ตามแนวชายแดนทางบก?
3. ฮุนเซนกับพวกสร้างสถานการณ์เข้าตีทางบก เพื่อหวังฮุบทรัพยากรในทะเล ?
บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์ ทรัพยากรในอ่าวไทย : จุดยุทธศาสตร์ที่สหรัฐรู้ลึกและความเชื่อมโยงกับความขัดแย้งไทย–กัมพูชา
เรียบเรียงและวิเคราะห์โดย น.อ.รัตนสุทธิ สุทธิแย้ม (เผยแพร่ในเพจนภาธิปัตย์) ให้ข้อมูลและความเห็นที่น่าสนใจมาก
ระบุว่า
“1. บทนำ: พื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ถูกปิดผนึกไว้ด้วยข้อพิพาทอ่าวไทย
โดยเฉพาะบริเวณ พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย–กัมพูชา (Joint Development Area – JDA) เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งทั้งในเชิงเศรษฐกิจและความมั่นคง
เนื่องจากเป็นจุดที่เชื่อกันว่ามีทรัพยากรพลังงานมหาศาลซึ่งยังไม่สามารถพัฒนาได้เพราะข้อพิพาทอธิปไตยระหว่างสองประเทศ
พื้นที่นี้จึงตกอยู่ในสถานะ “Frozen Zone of Wealth” หรือเขตทรัพยากรที่ถูกแช่แข็งทางการเมืองและกฎหมายระหว่างประเทศ
สถานการณ์ดังกล่าวยังถูกทำให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น จากการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ของมหาอำนาจ ได้แก่ จีน และ สหรัฐอเมริกา ที่ต่างพยายามแทรกตัวเข้าไปมีบทบาทในสมรภูมิพลังงานของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
2. สหรัฐอเมริกา: เจ้าของข้อมูลลึกใต้ทะเล
บริษัทอเมริกัน เช่น Unocal (ต่อมาเป็น Chevron) เคยได้รับสัมปทานจากไทยให้สำรวจและผลิตพลังงานในอ่าวไทยมาตั้งแต่ทศวรรษ 1970 ทำให้สหรัฐอเมริกาครอบครองข้อมูลเชิงลึกด้านธรณีวิทยา โครงสร้างแหล่งกักเก็บก๊าซ และการไหลของชั้นหินใต้ทะเล ซึ่งครอบคลุมถึงพื้นที่ JDA ด้วย
แม้ในปัจจุบัน Chevron จะไม่ได้รับสัมปทานใหม่จากไทย แต่ข้อมูลที่มีอยู่ยังคงทำให้สหรัฐฯ ครองความได้เปรียบเชิงเทคนิคเหนือคู่แข่ง เช่น จีน
สถานการณ์นี้สะท้อนแนวคิด “Geostrategic Advantage through Energy Intelligence” ซึ่งระบุว่ารัฐที่มีความรู้ภาคสนามเกี่ยวกับทรัพยากร จะสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้เป็นเครื่องต่อรองในเชิงยุทธศาสตร์กับทั้งรัฐเจ้าของพื้นที่และบริษัทคู่แข่ง
3. พื้นที่ทับซ้อน: ทรัพยากรยุทธศาสตร์ที่ไร้ผู้ควบคุม
ตามรายงานของ U.S. Geological Survey (USGS) ประเมินว่า พื้นที่ JDA มีแหล่งก๊าซธรรมชาติสะสมประมาณ 10–20 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต (Tcf) และน้ำมันดิบอีกหลายพันล้านบาร์เรล
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความตกลงร่วมในการแบ่งผลประโยชน์ระหว่างไทยและกัมพูชา เนื่องจากยังไม่มีการกำหนดเขตแดนทางทะเลอย่างเป็นทางการ
ตามหลักของ Geopolitical Economy of Energy การครอบครองและควบคุมแหล่งพลังงานสำคัญไม่ได้หมายถึงการผลิตเท่านั้น แต่ยังหมายถึง อำนาจในการกำหนดดุลอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์ ในระยะยาว
4. เส้นฐานทะเล: ความขัดแย้งทางบกที่แผ่ขยายสู่ทะเล
ตามหลักของ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (UNCLOS 1982) การแบ่งเขตทางทะเลจำเป็นต้องอ้างอิงจากเส้นฐานซึ่งตั้งอยู่บนแนวชายฝั่งที่ชัดเจนและปราศจากข้อพิพาท
แต่เนื่องจากไทยและกัมพูชายังคงมีข้อพิพาททางบกโดยเฉพาะบริเวณเขาพระวิหาร–ช่องบก–เนินยุทธศาสตร์ใกล้ชายแดน เส้นฐานของกัมพูชาจึงอาจยังไม่สามารถรับรองในระดับสากลได้
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความพยายามของกัมพูชาในการเคลื่อนแนวอธิปไตยทางบก อาจมีเป้าหมายแฝงในการปรับ แนวเส้นฐานทะเล เพื่อขยายพื้นที่ควบคุมในอ่าวไทย และเข้าถึงเขตทรัพยากรพลังงานใน JDA ได้มากขึ้น
5. กลยุทธ์เดิมในรูปแบบใหม่: สหรัฐดึงกัมพูชาออกจากจีน?
ในเดือนกรกฎาคม 2025 ที่ผ่านมา กัมพูชาได้ส่งคณะผู้แทนกองทัพระดับสูงเข้าร่วมประชุม Bilateral Defense Dialogue (BDD) กับ USINDOPACOM ณ ฐานทัพ Camp H.M. Smith และสำนักงานที่เกาะกวม นับเป็นการประชุมทางทหารระดับสูงครั้งแรกในรอบกว่า 6 ปี ระหว่างสหรัฐฯ และกัมพูชา
การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นในช่วงที่จีนขยายอิทธิพลผ่านโครงการท่าเรือ Ream และโครงข่ายพลังงานในกัมพูชาอย่างเข้มข้น
การประชุมดังกล่าวจึงไม่อาจมองได้ว่าเป็นเพียงความร่วมมือด้านความมั่นคงเท่านั้น แต่เป็นภาพสะท้อนของ ยุทธศาสตร์ “ดึงพันธมิตรของฝ่ายตรงข้าม” ซึ่งสหรัฐเคยประสบความสำเร็จมาแล้วในการ ดึงจีนออกจากสหภาพโซเวียต ในช่วงสงครามเย็น ผ่านการเจรจาเปิดสัมพันธ์ ปี 1972 ภายใต้ Nixon Doctrine
แนวทางนี้อาจกำลังถูกนำมาใช้กับกัมพูชา เพื่อ “ดึงออกจากอิทธิพลจีน” และเปิดทางให้สหรัฐฯ กลับเข้ามามีบทบาทในโครงสร้างพลังงานและความมั่นคงทางทะเลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
6. สมรภูมิพลังงาน: การแข่งขันเชิงอำนาจระหว่างจีน–สหรัฐฯ
ในขณะที่จีน โดยเฉพาะบริษัท Sinopec และ CNOOC ได้เข้าไปมีบทบาทอย่างรวดเร็วในกัมพูชา สหรัฐจึงเร่งกลับเข้าสู่เกมนี้ด้วยการผลักดันความร่วมมือด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และพลังงานกับกัมพูชา โดยอาจใช้ช่องทางบริษัทพลังงานเดิม (เช่น Chevron), องค์กรพหุภาคี (เช่น USAID, USTDA) และกรอบความร่วมมือทางทหาร เช่น USINDOPACOM
สถานการณ์นี้สอดคล้องกับแนวคิด Balance of Influence in Strategic Littoral Zones ซึ่งระบุว่า มหาอำนาจจะไม่ปล่อยให้พื้นที่ยุทธศาสตร์ทางทะเล (เช่น อ่าวไทย, ทะเลจีนใต้) ตกอยู่ในอิทธิพลของคู่แข่งโดยลำพัง
7. บทสรุปเชิงยุทธศาสตร์ (Narrative)
อ่าวไทย โดยเฉพาะพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยและกัมพูชา จึงไม่ได้เป็นเพียงประเด็นทรัพยากรธรรมชาติ
แต่กลายเป็นสมรภูมิยุทธศาสตร์ที่มหาอำนาจกำลังแทรกตัวเข้ามาแข่งขัน
ทั้งในรูปแบบความร่วมมือทางพลังงาน และการจัดวางอิทธิพลเชิงความมั่นคง
ข้อมูลเชิงลึกที่สหรัฐเคยสะสมผ่าน Chevron อาจกลายเป็นเครื่องมือเจรจาที่ทรงพลัง หากมีการฟื้นสัมพันธภาพกับกัมพูชาในระดับยุทธศาสตร์
ในด้านหนึ่ง ไทยต้องเผชิญกับแรงกดดันทั้งจากข้อพิพาททางบกและการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ ขณะที่กัมพูชาอาจใช้ประโยชน์จากช่องว่างเชิงอธิปไตยและกลไกทางทะเล เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง และดึงดูดทั้งสหรัฐฯ และจีนเข้าสู่เกมทรัพยากร
สถานการณ์ที่กัมพูชาร่วมประชุมกับ USINDOPACOM ที่กวม จึงไม่ใช่เพียงการสร้างพันธมิตรทางทหาร
แต่เป็นสัญญาณของ การปรับยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาค ที่อาจเปลี่ยนทิศทางการแข่งขันพลังงานในอ่าวไทยจาก “ไทย-กัมพูชา” ไปสู่ “จีน-สหรัฐ”
ในเวทีที่ใหญ่กว่าระดับทวิภาคี และยังไม่มีจุดสิ้นสุด”- โดย น.อ.รัตนสุทธิ สุทธิแย้ม
4. นี่เป็นอีกหนึ่งบทวิเคราะห์ ความเป็นไปได้ และสิ่งที่เฝ้าระวังติดตามต่อไป
ปมขัดแย้งกัมพูชา-ไทยรอบนี้ จึงยังไม่มีการวางเรื่องราวทั้งหมดไว้บนโต๊ะเจรจา
อาจเป็นเพราะมันมีผลประโยชน์มหาศาลในเชิงปิดลับ แอบแฝง ซึ่งผลักดันพฤติกรรมของฮุนเซนและพวก อันอาจหมายถึงไส้ศึกที่อยู่ในฝ่ายไทยเราเองด้วย
คลิปเสียงสนทนาลับ คงไม่ได้มีเฉพาะคลิปลับที่ฮุนเซนเปิดเผยออกมาแล้ว
น่าจะยังคงมีคลิปเสียงสนทนา หรือการวางแผนร่วมกับใครบางคน ในการแสวงหาผลประโยชน์ แบ่งปันผลประโยชน์ มากกว่าปราสาทสามหลังกับอีกหนึ่งพื้นที่
นี่คือความอำมหิต ชั่วร้าย ของกลุ่มคนที่หวังฮุบผลประโยชน์ของประเทศชาติส่วนรวม เอาไปแบ่งกับตระกูลพวกพ้องกันเอง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี