15 สิงหาคม พ.ศ. 2488 หรือวันนี้เมื่อ 80 ปีที่แล้ว จักรพรรดิฮิโรฮิโตะ (Hirohito) ได้ออกวิทยุเพื่อประกาศการถอนตัวของญี่ปุ่นจากสงครามโลกครั้งที่สอง ที่เรียกในภาษาญี่ปุ่นว่า Gyokuon-hoso (เกียวกุอง-โฮโซ) หรือ “การออกอากาศพระสุรเสียง” ภายหลังการโดนทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ เมื่อวันที่ 6 และ9 สิงหาคม (คำว่า Gyokuon-เกียวกุอง แปลว่า เสียงดั่งแก้ว อันหมายถึงพระสุรเสียงของจักรพรรดิ ส่วนคำว่า hoso-โฮโซ แปลว่า การออกอากาศ)
พระราชดำรัสดังกล่าวถือได้ว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่จักรพรรดิญี่ปุ่นมีพระราชดำรัสแก่สามัญชน แม้ว่าจะเป็นพระราชดำรัสผ่านแผ่นเสียงก็ตาม พระราชดำรัสนี้มิได้ถูกนำออกอากาศโดยตรง แต่เป็นการเล่นเสียงจากแผ่นเสียงซึ่งได้มีการบันทึกไว้จากพระราชวังหลวง ในช่วงวันที่ 13-14 สิงหาคม พ.ศ. 2488
ถึงกระนั้นก็ดี...ทหารญี่ปุ่นหลายฝ่ายไม่เห็นด้วยกับการที่สมเด็จพระจักรพรรดิกำลังจะยุติสงคราม เพราะยังต้องการสู้ต่อ เนื่องจากพวกเขาถือว่าเป็นการทำให้ประเทศเสื่อมเสียเกียรติยศอย่างยิ่ง แต่ผู้นำฝ่ายพลเรือนและข้าราชสำนักเห็นว่าหากยืดเยื้อ ญี่ปุ่นจะเผชิญการทำลายล้างจนไม่เหลืออะไร
ในเย็นวันที่ 14 สิงหาคม นายทหารนับพันนายพยายามบุกเข้าไปในพระราชวังหลวง เพื่อทำลายแผ่นเสียงนี้ เหตุการณ์นี้ต่อมาเรียกว่า “เหตุการณ์คิวโจ” (Kyujo incident) หรือ “เหตุกบฏในพระราชวังหลวง” แต่แผ่นเสียงได้ถูกลักลอบนำออกจากพระราชวังหลวงไปก่อนแล้ว โดยถูกซุกซ่อนไว้ในตะกร้าซักผ้า ทำให้สามารถนำไปออกอากาศได้ในวันรุ่งขึ้น
การออกอากาศนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ประชาชนญี่ปุ่นได้ยินเสียงจักรพรรดิด้วยหูตนเองทางวิทยุ สำหรับชาวญี่ปุ่นในเวลานั้น การได้ยินเสียงจักรพรรดิถือเป็นประสบการณ์ที่เหนือจริง เพราะจักรพรรดิถูกมองว่าเป็นองค์สมมุติเทพที่อยู่เหนือสามัญชน
เนื้อหาหลักของพระราชดำรัสคือการประกาศการยอมจำนนของญี่ปุ่นโดยจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ อย่างไรก็ดี ภาษาที่ใช้ในพระราชดำรัสดังกล่าวเป็นภาษาญี่ปุ่นชั้นสูงแบบคลาสสิก เต็มไปด้วยศัพท์จีนและโวหารโบราณ ทำให้คนทั่วไปในเวลานั้นฟังเข้าใจได้ยากมาก ความคลุมเครือทางภาษาทำให้คนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยในสมัยนั้นยังไม่แน่ใจในความหมายที่แท้จริงในทันที ทำให้เกิดความสับสนในหมู่ผู้ฟังจำนวนมาก ซึ่งไม่ทราบว่าญี่ปุ่นได้ยอมจำนนหรือพระจักรพรรดิทรงเรียกร้องให้ประชาชนต่อต้านการรุกรานของข้าศึกต่อไป
ชาวญี่ปุ่นต้องอาศัยการตีความจากเจ้าหน้าที่หรือหนังสือพิมพ์จึงเข้าใจว่านี่คือการประกาศยอมแพ้ เพราะจากเนื้อความทั้งหมดที่สมเด็จพระจักรพรรดิทรงประกาศ แม้ว่าเนื้อหาหลักคือการยอมจำนนของญี่ปุ่น แต่ก็ไม่มีส่วนใดเลยที่ระบุคำว่า “ยอมแพ้” (surrender) โดยตรง แต่กลับประกาศว่าได้ยอมรับ “คำประกาศพอทสดัม” (Potsdam Declaration) ซึ่งเป็นคำแถลงการณ์จากผลการประชุมที่จัดในเมืองพอทสดัม ประเทศเยอรมนี ในวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2488 โดยในแถลงการณ์ระบุ “เรียกร้องให้รัฐบาลแห่งญี่ปุ่นประกาศการยอมแพ้ของกองกำลังญี่ปุ่นทั้งหมดโดยไม่มีเงื่อนไขต่อฝ่ายสัมพันธมิตร”
หลังจากผู้ประกาศได้สรุปพระราชดำรัสแล้ว ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากก็กลับไปบ้านหรือที่ทำงานของตนเองเป็นเวลาหลายชั่วโมง เพื่อใคร่ครวญและไตร่ตรองความสำคัญของประกาศ เพราะในยุคสมัยที่ยังไม่มีโซเชียลมีเดียเช่นปัจจุบัน คนญี่ปุ่นจำนวนมากไม่รู้ว่า “คำประกาศพอทสดัม” หมายถึงอะไร และต้องใช้เวลาประมวลข้อมูลกันพักใหญ่กว่าจะเข้าใจว่าญี่ปุ่นแพ้แล้ว
Gyokuon-hoso หรือ การออกอากาศพระสุรเสียงของจักรพรรดิฮิโรฮิโตะถือเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์สำคัญของญี่ปุ่น ที่ไม่ใช่เป็นเพียงคำประกาศ หรือเอกสารการยอมรับความพ่ายแพ้แต่เป็นการสื่อสารที่มีความทับซ้อนระหว่าง “ความจริงของความพ่ายแพ้” กับ “การเล่าเรื่องเพื่อคงเกียรติ” อันเป็นวิธีที่ชาวญี่ปุ่นเล่าประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สอง สำหรับคนญี่ปุ่นแล้ว จิตสำนึกเรื่อง “ความพ่ายแพ้” และ“การสิ้นสุดสงคราม” ถูกแยกออกจากกันในวัฒนธรรมการเล่าเรื่องของชาวญี่ปุ่น เพื่อหลีกเลี่ยงการเน้นความอัปยศ
Gyokuon-hoso เป็นเครื่องมือการใช้ภาษาการเมืองที่ออกแบบการสื่อสารมาเพื่อยุติสงครามโดยรักษาศักดิ์ศรีของสถาบันจักรพรรดิ ในเนื้อหานำเสนอว่าเป็นการ “ตัดสินใจของจักรพรรดิ”เพื่อความอยู่รอดของประชาชนมากกว่าการถูกบังคับโดยฝ่ายศัตรู และเป็นการส่งสัญญาณให้ทหารยุติการต่อสู้เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายยอมแพ้กับฝ่ายหัวรุนแรงที่ไม่ยอมแพ้
นอกจากนี้ Gyokuon-hoso ยังเป็นปรับการรับรู้ของประชาชนให้ยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น เพื่อรักษาโครงสร้างทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของชาติญี่ปุ่นให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ การใช้ภาษาที่คลุมเครือและหลีกเลี่ยงคำว่า “แพ้” ยังทำให้ชาวญี่ปุ่นรู้สึกว่าพวกเขายังไม่สูญเสียเกียรติยศทั้งหมด
หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง คำถามสำคัญที่โลกเผชิญก็คือ ใครควรถูกลงโทษในฐานะอาชญากรสงคราม จากการกระทำของจักรวรรดิญี่ปุ่นตั้งแต่ การรุกรานจีน การโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ การรุกรานเอเชียตะวันออก การสังหารหมู่ที่นานกิง การทดลองทางชีวภาพกับมนุษย์ และการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง และหนึ่งในบุคคลที่ตกอยู่ในศูนย์กลางของข้อถกเถียงก็คือ จักรพรรดิฮิโรฮิโตะ ผู้เป็นประมุขสูงสุด เพราะภายใต้รัฐธรรมนูญเมจิ (1889) จักรพรรดิถือเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพญี่ปุ่น เป็นแหล่งที่มาของอำนาจอธิปไตยทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม นายพลดักสาส แมคอาเธอร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของฝ่ายสัมพันธมิตรเห็นว่าการคงสถาบันจักรพรรดิไว้จะช่วยให้การยอมแพ้ของญี่ปุ่นราบรื่น ป้องกันความวุ่นวายและการก่อกบฏจากฝ่ายทหารหัวรุนแรง หากจักรพรรดิถูกนำขึ้นศาลอาจทำให้ประชาชนญี่ปุ่นจำนวนมากต่อต้านการยึดครองของฝ่ายสัมพันธมิตร อันทำให้ประเทศต้องเผชิญกับความโกลาหลทางการเมืองและเข้าสู่ความวุ่นวายไร้เสถียรภาพได้
ในที่สุดศาลทหารระหว่างประเทศก็ไม่ได้ตั้งข้อหาจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ โดยเลือกจำกัดการดำเนินคดีไปยังผู้นำรัฐบาลและผู้นำระดับสูงของกองทัพจักรพรรดิก็ยังทรงครองราชย์ต่อไป ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (1947) ที่สหรัฐอเมริกามีส่วนในการร่าง โดยได้ลดบทบาทของจักรพรรดิให้เป็น “สัญลักษณ์แห่งชาติ” แทน “ผู้ปกครอง” และสำหรับในโลกวิชาการ ประเด็นดังกล่าวก็ยังเป็นข้อถกเถียงกันเรื่อยมาในเรื่อง “ความรับผิดชอบของประมุขแห่งรัฐต่ออาชญากรรมระหว่างประเทศ”
ดร.ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี