เหตุการณ์ลอบสังหาร Charlie Kirk นักเคลื่อนไหวทางการเมืองฝ่ายขวา ขณะขึ้นปราศรัยต่อหน้าผู้ฟังหลายพันคนที่ Utah Valley University ในรัฐยูทาห์ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ไม่เพียงทำให้ชาวอเมริกันอยู่ในภาวะตกใจและโศกเศร้าเท่านั้น แต่ยังได้กระตุ้นข้อถกเถียงเรื่องความรุนแรงทางการเมืองและความแตกแยกในสังคมอเมริกันขึ้นมาอีกครั้ง
ชาร์ลี เคิร์ก วัย 31 ปี เป็นผู้ก่อตั้งและเป็น CEO ของ Turning Point USA (TPUSA) องค์กรไม่แสวงกำไรที่มุ่งเผยแพร่อุดมการณ์อนุรักษ์นิยมแก่เยาวชนในรั้วมหาวิทยาลัย ชาร์ลีไม่ได้เรียนจบมหาวิทยาลัย แต่สามารถใช้ทักษะด้านการสื่อสารพูดจาโน้มน้าวให้คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาซึ่งส่วนใหญ่จะมีแนวคิดแบบเสรีนิยมและเพิ่งได้ออกเสียงเป็นครั้งแรกเปลี่ยนใจมาลงคะแนนเสียงให้กับทรัมป์และพรรครีพับลิกันจนได้รับชัยชนะ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปีที่แล้ว องค์กร TPUSA ของเคิร์กใช้นักศึกษาช่วยทรัมป์หาเสียง ด้วยการเดินไปเคาะตามประตูบ้านทุกหลัง ทำให้ทรัมป์กลับมาชนะในรัฐแอริโซนาและวิสคอนซิน ภายหลังจากที่ได้เคยพ่ายแพ้ในสองรัฐนี้เมื่อปี 2020
ชาร์ลีเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญของทรัมป์และพรรครีพับลิกัน ภายหลังการถูกลอบสังหารเมื่อวันที่ 10 กันยายน ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ได้สั่งลดธงครึ่งเสาทั่วอเมริกาเพื่อไว้อาลัยให้แก่ ชาร์ลี เคิร์ก รองประธานาธิบดี เจ.ดี. แวนซ์ ยกเลิกการเข้าร่วมพิธีรำลึกครบรอบ 24 ปี เหตุการณ์ 9/11 เพื่อไปรับศพของเคิร์กจากรัฐยูทาห์กลับมาทำพิธีที่บ้านของเขาในรัฐแอริโซนาด้วยเครื่องบินประจำตำแหน่ง Air Force Two
ถ้ามองย้อนกลับไป เมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว การเมืองอเมริกันหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016 มีความเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญต่อภูมิทัศน์ทางการเมืองและสังคม โดยเฉพาะการปรากฏตัวของ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน ผู้ใช้น้ำเสียงและวาทกรรมทางการเมืองที่ต่างออกไปจากบรรทัดฐานเดิม สุนทรพจน์ของทรัมป์ไม่เพียงแต่สะท้อนอุดมการณ์“อเมริกาต้องมาก่อน” (America First) เท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างและขยาย “ความแตกแยก” (division หรือ polarization) ภายในสังคมอเมริกัน
ลักษณะสำคัญของสุนทรพจน์ทรัมป์นั้น เป็นการใช้ภาษาแบบตรงไปตรงมา ทรัมป์มักใช้คำสั้นๆ เข้าใจง่าย เช่น “ข่าวปลอม” (Fake News),“สร้างกำแพง” (Build the Wall), “ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง”(Make America Great Again) เพื่อสร้างภาพจำที่ชัดเจน
อย่างไรก็ตาม การที่สุนทรพจน์ของทรัมป์ไปตรงใจชาวบ้านนั้น ไม่ได้หมายความว่าทรัมป์ เป็นคนพูดเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายได้เก่ง หรือย่อยความรู้ได้ดี เพราะความจริงแล้วทรัมป์เป็นคนที่ไม่ค่อยได้อ่านหนังสือมากและมีความรู้รอบตัวที่น้อยมาก เขาจึงไม่ค่อยมีคำศัพท์ (vocabulary) อยู่ในกระเป๋ามากนัก เมื่อเทียบกับอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตันหรือบารัค โอบามาสำหรับการหยิบมาใช้เพื่อถ่ายทอดความคิดความรู้สึก ดังนั้น ทรัมป์จึงต้องใช้คำง่ายๆ พื้นๆ และใช้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตลอด
บริษัทลิงกัวโฟน (Linguaphone) ซึ่งเป็นบริษัทเกี่ยวกับการจัดทำสื่อการสอนทางด้านภาษา มาตั้งแต่ปี 1901 ได้เคยทำแบบสำรวจพบว่า คนที่อ่านเขียนไม่ได้นั้น จะรู้ศัพท์ไม่เกิน 500คำ เด็กสองขวบประมาณ 300 คำ พอสัก 8 ขวบก็ 2,000-3,000 พันคำ ขณะที่ผู้ใหญ่ที่ไม่ฉลาดก็จะรู้สัก10,000 คำ ส่วนผู้ใหญ่ทั่วไปก็อยู่ประมาณ 35,000-70,000 คำ ส่วนพวกหนอนหนังสือจะมีศัพท์อยู่ในกระเป๋าคนละอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนคำ เช่น อดีตประธานาธิบดี โอบามา จะพบว่าในกระเป๋าคำศัพท์ของเขานั้นมีคำอยู่ไม่น้อยกว่าแสนคำ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจสำหรับคนที่เคยเป็นอดีตบรรณาธิการวารสารกฎหมายของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและศาสตราจารย์พิเศษด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างโอบามา
สื่อหลายสำนักได้เคยรวบรวมการโพสต์ข้อความลงในโซเชียลมีเดียของทรัมป์ ตั้งแต่วันแรกที่เขาเป็นประธานาธิบดีจนครบวาระสี่ปีในสมัยแรก พบว่าทรัมป์ใช้คำศัพท์อยู่ไม่เกิน 5,000 โดยคำที่ใช้บ่อยมากที่สุดก็คือคำว่า Great (ไม่นับรวมศัพท์ประเภท the, a , I, you, me หรือ กิริยาทั่วไปเช่น am, is, are, have อะไรเหล่านี้ เป็นต้น) ที่เขามักใช้เป็นคำคุณศัพท์เพื่อไปขยายคำอื่นๆ เช่น greatman, great people, great guy, great economy,make American great again……สังเกตได้ว่าในขณะที่ทรัมป์จะเก่งในการตั้งฉายาทางลบให้กับคนโน้นคนนี้ แต่เวลาจะชมใคร เขากลับไม่สามารถหาคำชมที่เหมาะสมกับบุคคลนั้นๆ เป็นรายๆ ไป ใช้ได้แค่คำว่า great หรือ ยิ่งใหญ่ ยอดเยี่ยม ได้เพียงแค่คำเดียวกับทุกคนและทุกสิ่งทุกอย่าง
ดังนั้น อาวุธสำคัญในสุนทรพจน์ที่ทรัมป์ (หรือทีมงานเขียนสุนทรพจน์-speech writers)ใช้เพื่อสื่อสารกับผู้ฟัง จึงมักเป็นรูปประโยคที่สั้นและง่าย ใช้สำนวนที่ตรงไปตรงมา เข้าสู่ประเด็นด้วยการตัดคำที่ไม่จำเป็นออก ใช้คำกริยา คำคุณศัพท์หรือคำวิเศษณ์เท่าที่จำเป็น ไม่มีคำฟุ่มเฟือย หรือคำศัพท์สูงส่งที่มีสีสันฉูดฉาด ซึ่งถ้าดูกันแล้วก็จะคล้ายกับการเขียนของเด็กนักเรียน แต่อย่างไรก็ตาม สุนทรพจน์แบบนี้นั้น กลับกลายเป็นศิลปะการหว่านล้อมทางการเมืองที่มีประสิทธิภาพกับฐานเสียงของเขา
สุนทรพจน์ทรัมป์ยังมักเล่นกับความกลัวและอารมณ์ของผู้คน เขามักเน้นวาทกรรมที่กระตุ้นความกังวล เช่น อาชญากรรมจากผู้อพยพ,ความเสื่อมถอยของเศรษฐกิจ หรือ ภัยจากจีน เพื่อสร้างแรงจูงใจทางการเมือง และมักมีการแบ่งแยก“เรา” และ “เขา” ทรัมป์นำเสนอประชาชนที่สนับสนุนเขาในฐานะ “ชาวอเมริกันผู้รักชาติ”ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามถูกทำให้เป็น “ศัตรูของชาติ”
นอกจากนั้น ทรัมป์มักจะใช้สุนทรพจน์โจมตีคู่แข่งทางการเมือง สื่อมวลชน และกลุ่มสังคมบางกลุ่ม โดยใช้ถ้อยคำรุนแรง เช่น เรียกนักการเมืองพรรคเดโมแครตว่า “ศัตรูของประชาชน” (Enemy of the People) รวมไปถึงการจิกกัด เสียดสี เหน็บแนมและชอบตั้งฉายาให้กับฝ่ายตรงข้ามเช่น โจ ผู้น่าเบื่อ (Sleepy Joe) เมื่อพูดถึงโจ ไบเดน, เรียกฮิลลารี คลินตัน ว่า ยัยขี้โกง(Crooked Hilary) ทุกครั้งเวลาเอ่ยชื่อเธอ,หรือเรียก คิม จอง-อึน ผู้นำเกาหลีเหนือว่ามนุษย์จรวด (Rocket man) เป็นต้น
สุนทรพจน์ทรัมป์มีบทบาทอย่างมากต่อความแตกแยกในสังคมอเมริกัน ไม่ใช่เพียงเพราะเนื้อหาของนโยบาย แต่เพราะการใช้วาทกรรมที่สร้างภาพแทน “เรา” และ “เขา” การโจมตีฝ่ายตรงข้าม และการกระตุ้นความกลัว ส่งผลให้ประชาชนรับรู้การเมืองในลักษณะสงครามทางอัตลักษณ์ มากกว่าการถกเถียงเชิงเหตุผล
สุนทรพจน์สองครั้งล่าสุดของทรัมป์เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจสำหรับ “การสร้างความแตกแยก” ผ่านสุนทรพจน์ โดยครั้งแรกเป็นการกล่าวคำไว้อาลัยในพิธีศพชาร์ลี เคิร์ก เมื่อสัปดาห์ก่อน ส่วนครั้งที่สองเป็นสุนทรพจน์ที่ทรัมป์กล่าวในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ เมื่อต้นสัปดาห์นี้.....(ยังมีต่อ)
ดร.ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี