สุนทรพจน์ของโดนัลด์ ทรัมป์ มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากนักการเมืองทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการใช้ถ้อยคำที่รุนแรง ตรงไปตรงมา หรือการยกตัวอย่างเหตุการณ์บางอย่างขึ้นมาเพื่อสร้างภาพจำและความรู้สึกที่ฝังลึกในใจผู้ฟัง สปีช (speech) ของเขาทั้งในงานศพของ Charlie Kirk และในที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ แสดงให้เห็นเทคนิคการใช้Availability Heuristics อย่างเข้มข้น อันเป็นกลยุทธ์ทางภาษาที่ทรงพลังเพื่อสร้างการรับรู้และกำหนดความจริงทางการเมืองในแบบที่เขาต้องการ
Availability Heuristics เป็นแนวคิดทางจิตวิทยาเชิงพฤติกรรมที่อธิบายว่า เมื่อมนุษย์ต้องตัดสินใจหรือประเมินความน่าจะเป็นของเหตุการณ์หนึ่งๆ พวกเขามักใช้ “ความง่ายในการนึกออก”ของตัวอย่าง หรือข้อมูลที่มีอยู่ในความทรงจำมาเป็นเกณฑ์ตัดสิน มากกว่าจะอิงข้อมูลเชิงสถิติที่แท้จริง กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าเหตุการณ์ใดถูกนำเสนอหรือปรากฏในความทรงจำได้ง่าย เช่น ข่าวที่พึ่งเห็น หรือประสบการณ์ส่วนตัวที่สดใหม่ที่พึ่งเจอมา มนุษย์จะมีแนวโน้มเชื่อว่าเหตุการณ์นั้น “เกิดขึ้นบ่อยกว่า”หรือมี “โอกาสมากกว่า” แม้ในความจริงแล้วอาจไม่ใช่ก็ตาม เช่น หากเราพึ่งเห็นข่าวเครื่องบินตกออกสื่อใหญ่ๆ หลายวันติด เราจะรู้สึกว่า “การเดินทางด้วยเครื่องบินอันตรายมาก” ทั้งที่สถิติจริงบอกว่าการบินปลอดภัยกว่าการขับรถมาก
ในทางจิตวิทยาการเมือง (Political Psychology)อันเป็นวิชาที่ศึกษาว่าความคิด อารมณ์ และกระบวนการรับรู้ของมนุษย์ส่งผลต่อพฤติกรรมทางการเมืองอย่างไร Availability Heuristics จึงเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่อธิบายว่า ทำไมประชาชนจึงมักประเมินสถานการณ์การเมืองจาก “สิ่งที่เห็นและนึกออกได้ง่าย” มากกว่าข้อมูลจริงที่ซับซ้อน เช่น ถ้าสื่อรายงานข่าวคอร์รัปชันของนักการเมืองบางพรรคอย่างต่อเนื่อง ประชาชนอาจเชื่อว่า “พรรค นั้นทุจริตมากกว่า” แม้ว่าความจริงปัญหานี้จะเกิดขึ้นในหลายพรรคพอๆ กัน
ตัวอย่าง เช่น ในบริบทการเมืองไทย ข่าวการทุจริตของนักการเมืองมักได้รับพื้นที่สื่ออย่างกว้างขวาง จนทำให้ประชาชนจำนวนมากเชื่อว่า “นักการเมือง = คอร์รัปชัน” นี่เป็น Availability Heuristics เพราะสิ่งที่นึกออกง่ายคือภาพนักการเมืองโกง แต่ในความจริงคอร์รัปชันเกิดขึ้นได้ทั้งในระบบราชการ ภาคธุรกิจเอกชน สถาบันการศึกษา หรือแม้แต่ในวัด
ดังนั้น เมื่อสื่อมวลชนรายงานข่าวซ้ำๆเกี่ยวกับปัญหาหนึ่ง เช่น อาชญากรรม การชุมนุม หรือความรุนแรง ประชาชนจะนึกถึงปัญหานั้นเป็นอันดับแรก และมักประเมินว่าปัญหานั้นร้ายแรงที่สุด แม้สถิติหรือโครงสร้างจริงอาจไม่ใช่ เหตุการณ์ใหญ่ๆ เช่น การรัฐประหาร หรือความรุนแรงทางการเมือง มักถูกนึกถึงง่าย ทำให้คนตีความการเมืองในปัจจุบันโดยเชื่อมโยงกับอดีตที่จำได้ เช่น คนไทยจำนวนหนึ่งยังจำเหตุการณ์รัฐประหารปี 2549 และ 2557 ได้ง่าย เพราะสื่อโซเชียลมีเดียทำให้การพูดคุยในสังคมถูกขับเน้นมากเมื่อเทียบกับรัฐประหารที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นในปี 2534 ยุคที่ยังไม่มีโซเชียลมีเดีย หรือบางคนได้ยินคำว่า “ม็อบ” แล้วนึกถึงความรุนแรงทันทีแม้การชุมนุมครั้งใหม่จะสงบเรียบร้อยก็ตาม
สรุปแล้ว Availability Heuristics คือกระบวนการที่มนุษย์ประเมินความน่าจะเป็นหรือความถี่ของเหตุการณ์โดยอ้างอิงจาก “ความง่ายในการนึกถึง” เป็นกลไกที่ช่วยให้มนุษย์ตัดสินใจได้เร็วขึ้น เพราะอ้างอิงจากสิ่งที่นึกออกง่ายที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม กระบวนการนี้ก็เสี่ยงต่อความผิดพลาดได้เพราะ “สิ่งที่นึกออกง่าย” ไม่จำเป็นต้องตรงกับ “ความจริงทางสถิติ” เสมอไป
ในทางการเมือง การนำเสนอประเด็นซ้ำๆ ในสื่อหรือโซเชียลมีเดีย ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าประเด็นนั้นสำคัญกว่าความเป็นจริง ดังนั้น นักการเมืองจึงมักใช้วาทกรรมที่กระตุ้นความรู้สึกมากกว่าการอธิบายเชิงเหตุผลด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์ เช่น การใช้ Availability Heuristics ของนักการเมืองเพื่อ “เลือก” เรื่องที่จะพูดซ้ำๆ เพื่อให้ผู้คนจำและประเมินว่าเรื่องนั้นสำคัญกว่าเรื่องอื่น เช่น การสร้างภาพว่า “เศรษฐกิจแย่เพราะรัฐบาลชุดนี้” แม้การที่เศรษฐกิจไม่ดีจะได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัยก็ตาม หรือเพื่อโน้มน้าวประชาชน เช่น ในกรณีของทรัมป์ สปีชของเขาทั้งในพิธีศพของ Charlie Kirk และในที่ประชุมสหประชาชาติแสดงให้เห็นการใช้ Availability Heuristics อย่างแยบยล สร้างความทรงจำง่ายๆ ที่ผู้สนับสนุนนึกออกทันที
ในพิธีศพ ทรัมป์เลือกที่จะพูดถึงการลอบสังหาร Charlie Kirk ว่าเป็นหลักฐานของความเสื่อมถอยของสังคมอเมริกัน โดยใช้คำพูดที่ย้ำซ้ำถึง “ความรุนแรงของฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง” และ “ภัยที่คุกคามชาวอเมริกันผู้รักชาติ” วิธีนี้ทำให้ผู้ฟังเกิดการเชื่อมโยงเหตุการณ์เฉพาะ (การตายของ Kirk) เข้ากับภาพรวมทางการเมือง และตัดสินใจว่าฝ่ายตรงข้ามคือผู้ร้ายของประเทศ
นี่คือการทำงานของ Availability Heuristics เพราะคนจำนวนมากจะจำเหตุการณ์รุนแรงสดๆ ร้อนๆ ได้ง่ายกว่าข้อเท็จจริงเชิงโครงสร้าง เช่น อัตราการก่ออาชญากรรมที่ลดลงในบางพื้นที่ หรือความซับซ้อนของเหตุจูงใจส่วนบุคคล (มือปืนที่ยิง Charlie Kirk) การย้ำ“ภาพจำ” ที่เด่นชัดในสุนทรพจน์ของทรัมป์ เช่น “วีรบุรุษผู้รักชาติถูกฆ่า” ช่วยสร้างการรับรู้ที่เกินจริงเกี่ยวกับระดับความรุนแรงทางการเมือง
ทรัมป์ใช้โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นเน้นย้ำว่า “เราคือใคร”(who we are) แต่ “เรา” ที่ทรัมป์ใช้นั้นไม่ใช่คนอเมริกันทั้งหมด (all Americans) แต่เป็นเฉพาะ “เรา”ที่สนับสนุนทรัมป์ หรือ “เรา” ที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองเดียวกับ Charlie Kirk ผู้ล่วงลับที่เชิดชูแนวคิดอนุรักษ์นิยมแบบขวาจัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปกป้องคุณค่าครอบครัวแบบดั้งเดิม ไม่ยอมรับความหลากหลายทางเพศ-LGBTQ, ต่อต้านการทำแท้งเสรีและผู้อพยพ
เมื่อสุนทรพจน์ของผู้นำทางการเมืองอย่างทรัมป์ใช้วาทกรรมที่เน้นความต่างระหว่าง “ชาวอเมริกันแท้”กับ “คนอื่น” แบ่งแยก “เรา”และ “เขา” เช่น ผู้อพยพ, สื่อเสรี, พรรคเดโมแครต ก็จะส่งผลให้เกิดการแบ่งแยกทางจิตวิทยาสังคม ทำให้ผู้สนับสนุนทรัมป์มีความรู้สึก “รักพวกเรา เกลียดพวกเขา” อย่างรุนแรง ส่งผลให้ความแตกแยกในสังคมและทางการเมืองเพิ่มยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ
ในเวที UN ทรัมป์ใช้วิธีการเล่าตัวอย่างสั้นๆ แต่แรงเกี่ยวกับภัยคุกคาม เช่น “การรุกรานทางเศรษฐกิจจากจีน” หรือ “การขยายอำนาจของเผด็จการบางประเทศ” แต่เขาไม่ได้ลงรายละเอียดเชิงซับซ้อนแต่ยกภาพจำที่ง่ายต่อการเรียกกลับมา เช่น “จีนกำลังขโมยงานจากคนอเมริกัน” วิธีนี้ทำให้ Availability Heuristics ทำงาน เพราะผู้ฟังในทันทีสามารถเชื่อมโยงกับความกังวลที่จับต้องได้ เช่น การตกงาน หรือความรู้สึกสูญเสียอำนาจของสหรัฐ สุนทรพจน์ที่ UN ของทรัมป์ยังเน้นการสร้าง “ภัยจากภายนอก” โดย Availability Heuristics ทำให้ผู้ฟังเชื่อมโยงจีน อิหร่าน หรือกลุ่มประเทศคู่แข่งเข้ากับ “ภัยใกล้ตัว”
การใช้ Availability Heuristics ของทรัมป์ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบในทุกเวที ไม่ว่าจะในงานศพ Charlie Kirk ที่สร้างอารมณ์ร่วมเชิงโศกนาฏกรรมภายในประเทศ หรือที่เวที UN ที่วาดภาพความขัดแย้งระหว่างประเทศ กลยุทธ์นี้ทำให้ผู้ฟังรับรู้และตัดสินใจบนพื้นฐานของภาพจำที่รุนแรงซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าทรัมป์ไม่ได้เพียงสื่อสารทางการเมือง แต่กำลังสร้างโลกทัศน์ทางการเมืองใหม่ ที่ตัดขาดจากความจริงเชิงโครงสร้างและข้อมูลที่ซับซ้อน
สุนทรพจน์ของ โดนัลด์ ทรัมป์ มีบทบาทอย่างมากต่อความแตกแยกในสังคมอเมริกัน ทำให้เกิดการแบ่งแยกทางเชื้อชาติและชาติพันธุ์ การกล่าวถึงผู้อพยพและชาวมุสลิมสร้างความรู้สึกว่ามี “คนใน” และ “คนนอก” ในสังคมอเมริกัน สปีชของเขายังสร้างความแตกแยกทางการเมือง ทำให้ช่องว่างระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันขยายขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏในรอบหลายทศวรรษ นอกจากนั้นยังทำให้กลุ่มผู้สนับสนุนบางกลุ่มเสื่อมศรัทธาต่อสถาบันประชาธิปไตย เพราะวาทกรรมที่โจมตีสื่อ ศาล และการเลือกตั้ง ทำให้คนกลุ่มนี้ไม่เชื่อถือกลไกประชาธิปไตย
ดร.ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี