ในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจและการเมือง คำว่า “Potemkin Village” มักถูกหยิบยกขึ้นมาใช้อธิบายสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อแสดงภาพลวงตาให้ดูดี ทั้งที่ความจริงภายในกลับเสื่อมโทรมหรือว่างเปล่า ดังนั้น คำว่า “Potemkin” จึงถูกนำมาใช้ในเชิงอุปมาเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และอื่นๆ ที่ผู้มีอำนาจสร้างขึ้นมาเพื่อกลบเกลื่อนความจริงอันไม่พึงปรารถนาที่อยู่เบื้องหลัง
เช่น เมื่อแนวคิดนี้ถูกนำมาใช้ในมิติทางเศรษฐศาสตร์ จึงได้คำว่า “Potemkin Economy” ซึ่งหมายถึง “เศรษฐกิจภาพลวงตา” หรือเศรษฐกิจที่ดูเหมือนเจริญรุ่งเรืองจากภายนอก แต่ข้างในเต็มไปด้วยปัญหาเชิงโครงสร้างและความไม่ยั่งยืน ระบบเศรษฐกิจในหลายประเทศถูกกล่าวหาว่าเป็น “Potemkin Economy” เนื่องจากตัวเลขทางเศรษฐกิจมหภาค เช่น GDP หรือโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ สร้างภาพให้ดูแข็งแรงมั่นคง แต่ความเป็นจริงกลับซ่อนปัญหาหนี้สิน การขาดนวัตกรรม ความเหลื่อมล้ำ และการพึ่งพาเพียงไม่กี่ภาคเศรษฐกิจ
คำว่า “Potemkin” มีต้นกำเนิดจาก Grigory Potemkin ขุนนางและผู้บัญชาการกองทัพรัสเซียในสมัยจักรพรรดินีแคทเธอรีนมหาราช (Catherine the Great) ตำนานเล่าว่า ในช่วงที่จักรพรรดินีเสด็จประพาสแคว้นไครเมีย (ราว ค.ศ. 1787) โปเตมคินซึ่งเป็นคนโปรดต้องการแสดงให้พระนางเห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองและความภักดีของดินแดนที่เพิ่งถูกยึดครอง เขาจึงสั่งสร้าง “หมู่บ้านจำลอง” หรือ Potemkin Villages ริมเส้นทางขบวนเสด็จ โดยทาสและชาวบ้านถูกจัดฉากให้แต่งกายดี บ้านเรือนทาสีใหม่ ดูเหมือนมีความสุขและเจริญรุ่งเรือง เพื่อให้จักรพรรดินีแคทเธอรีนเชื่อว่าชนบทรัสเซียอยู่ดีมีสุข ทั้งที่เบื้องหลังเต็มไปด้วยความยากจนและความล้าหลัง
แม้ประวัติศาสตร์บางส่วนยังถกเถียงว่าเรื่องนี้เป็นตำนานเกินจริง แต่คำว่า “Potemkin” ก็ถูกจดจำในฐานะสัญลักษณ์ของการสร้างภาพลวงตา เพื่อปกปิดความจริง
เมื่อนำแนวคิด “หมู่บ้านโปเตมคิน” มาประยุกต์ใช้กับเศรษฐกิจ ก็จะมีความหมายว่าเศรษฐกิจที่ถูกนำเสนอว่ามีความมั่นคง แข็งแรง และเติบโต แต่แท้จริงแล้วขาดรากฐานที่มั่นคงและเต็มไปด้วยปัญหาเชิงโครงสร้าง ลักษณะสำคัญของ Potemkin Economy เช่น
1. การเติบโตที่ไม่ยั่งยืน - อาศัยการก่อหนี้จำนวนมาก การพึ่งพาการก่อสร้างหรือโครงการรัฐ
2. ภาพลวงตาทางสถิติ - ตัวเลข GDP สูง แต่ประชาชนส่วนใหญ่ยังยากจน ความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้น
3. ความพึ่งพิงภายนอก - เศรษฐกิจขึ้นอยู่กับทรัพยากรเพียงชนิดเดียว หรือเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจเพียงเครื่องเดียว เช่น ภาคการท่องเที่ยว การลงทุนจากต่างชาติ หรือการส่งออก
4. การควบคุมการนำเสนอข้อมูล - รัฐบาลเผยแพร่เฉพาะข้อมูลด้านบวก ปิดบังด้านลบ เช่น ในกรณี
เมื่อต้นเดือนนี้ที่ทรัมป์ไล่ผู้อำนวยการสำนักสถิติแรงงานออกจากตำแหน่ง เพราะไม่พอใจที่ตัวเลขการจ้างงานล่าสุดที่ออกมาต่ำกว่าที่เขาต้องการ
5. โครงการขนาดใหญ่ไร้ประสิทธิภาพ - เช่น เมืองใหม่ ถนน หรือสนามบิน ที่สร้างเพื่อโชว์ มากกว่าตอบโจทย์เศรษฐกิจจริง
คำว่า “Potemkin Economy” มักถูกใช้โดยนักวิเคราะห์และสื่อมวลชนเพื่อวิพากษ์รัฐบาลที่พยายามสร้างภาพความเจริญรุ่งเรือง แม้เศรษฐกิจในความเป็นจริงอาจกำลังเสื่อมถอยตัวอย่างเช่น
สหภาพโซเวียตในช่วงสงครามเย็น : แสดงโครงการอวกาศและอุตสาหกรรมหนัก แต่ปัญหาปากท้องและการขาดนวัตกรรมเทคโนโลยีกลับถูกซ่อน เนื่องจากรัฐพยายามชูความยิ่งใหญ่ของอุตสาหกรรม การทหาร และโครงการอวกาศ ขณะที่ประชาชนจำนวนมากขาดแคลนสินค้าอุปโภค-บริโภค การผลิตไม่มีประสิทธิภาพ และขาดแรงจูงใจด้านนวัตกรรม
รัฐอ่าวเปอร์เซียบางแห่ง : สร้างตึกระฟ้าและเมืองใหม่สุดหรู แต่เศรษฐกิจพึ่งพาน้ำมันเพียงอย่างเดียว เนื่องจากความมั่งคั่งถูกขับเคลื่อนด้วยราคาน้ำมัน ขณะที่เศรษฐกิจที่แท้จริงยังขาดการกระจาย หากราคาน้ำมันตกต่ำ เศรษฐกิจจะสั่นคลอนทันที
บางประเทศในเอเชียและแอฟริกา : สร้างภาพเศรษฐกิจโตด้วยการลงทุนจากต่างชาติหรือโครงการก่อสร้างยักษ์ใหญ่ ใช้โครงการเมกะโปรเจกท์เพื่อสร้างความมั่นใจต่อนักลงทุนต่างชาติ แต่พื้นฐานเศรษฐกิจ ฐานราก SME และชนบทยังคงอ่อนแอ เกษตรกรรมล้าหลัง ประชาชนส่วนใหญ่ยังยากจน แม้กระทั่งประเทศจีนที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่ก็มีนักวิเคราะห์บางคนวิจารณ์ว่า จีนอาจกำลังเสี่ยงเป็น “Potemkin Economy” ในบางมิติ เช่น เมืองร้าง (Ghost Cities) การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่เกินจำเป็น และหนี้สินของรัฐบาลท้องถิ่นจำนวนมหาศาล
Potemkin Village ไม่ใช่เพียงปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อสร้างความชอบธรรมและรักษาเสถียรภาพของระบอบ เช่น การเมืองไทยถูกมองว่าเป็น Potemkin Democracy หรือ “ประชาธิปไตยฉากหน้า” เช่น รัฐธรรมนูญและการเลือกตั้ง ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญหลายฉบับที่ประกาศว่าประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย มีการเลือกตั้งและมีพรรคการเมือง แต่บ่อยครั้งโครงสร้างทางอำนาจกลับถูกออกแบบให้กับคนเพียงบางกลุ่มใดที่สามารถควบคุมได้ เช่น วุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้ง หรือวิธีการสรรหาที่พิสดาร รวมไปถึงองค์กรอิสระที่มีความเป็นกลางเพียงในนาม
นอกจากนั้น พิธีกรรมทางการเมืองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การเลือกตั้ง(ที่เต็มไปด้วยการทุจริต) การประชุมรัฐสภา(ที่ล่มซ้ำซาก) และการร่างรัฐธรรมนูญ(ที่ถูกร่างโดยเนติบริกร) มักถูกใช้เป็น “ฉาก” เพื่อสร้างความชอบธรรม แต่เมื่อพิจารณาเชิงเนื้อหาแล้ว การมีส่วนร่วมของประชาชนกลับถูกจำกัด กระบวนการทางการเมืองมักตอบสนองต่อชนชั้นนำและนักการเมืองมากกว่าประชาชนทั่วไป
สังคมไทยสะท้อนลักษณะของ Potemkin Village อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยฉากหน้าความเจริญทางเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึง วัฒนธรรมที่ถูกใช้เพื่อการตลาด ตัวเลขการศึกษาที่ไม่สะท้อนคุณภาพ การสร้างแบรนด์ประเทศที่ขัดกับความจริงเบื้องหลัง เช่น เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แต่กลับมีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นในวงการสงฆ์มากมาย หรือการบริหารราชการที่หน่วยงานภาครัฐมักเน้นการสร้างรายงาน ผลการประเมิน และตัวเลขความสำเร็จ มากกว่าความเป็นจริงและการแก้ปัญหาที่แท้จริง ตัวชี้วัด (KPI) กลายเป็นเป้าหมายสำคัญ แม้บางครั้งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงและคุณภาพชีวิตของประชาชน
เช่น กรณีล่าสุดที่ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้คะแนน “ดัชนีคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ” หรือ ITA (Integrity and Transparency Assessment) มาเป็นอันดับหนึ่งที่ 94.64 คะแนน ในกลุ่มองค์กรอิสระ
ITA เป็นดัชนีที่ ป.ป.ช. คิดค้นและใช้ประเมินความโปร่งใสของหน่วยงานรัฐในทุกๆ ปี โดยการประเมิน ITA ประจำปีงบประมาณ 2568 มีหน่วยงานภาครัฐเข้าร่วมทั้งสิ้น 8,317 หน่วยงานอย่างไรก็ตาม ดังที่ทราบกันว่าภายหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว จนทำให้ตึกสตง. แห่งใหม่ถล่มลงมา สตง.ถูกตั้งคำถามจากสังคมอย่างหนักถึงเรื่องความโปร่งใสขององค์กร
ดังนั้น การมองสังคมไทยผ่านกรอบคิดนี้ (Potemkin Village) ช่วยให้เราเห็นปรากฏการณ์หลายด้าน ตั้งแต่สังคม เศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม ระบบการศึกษาและราชการ เรื่อยไปจนถึงในโลกของโซเชียลมีเดีย ที่มักเน้น “การสร้างภาพ” ให้ดูดีในสายตาสาธารณะหรือนานาชาติ แต่ความจริงภายในกลับแตกต่างไปมาก การสร้างภาพดังกล่าวอาจสร้างความเชื่อมั่นในระยะสั้น แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างได้ หากไม่ยอมรับความจริงและลงมือปฏิรูป
สุดท้าย...ฉากหมู่บ้านโปเตมคินก็จะพังทลาย เผยให้เห็นความเปราะบางและความจริงเบื้องหลังที่ไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไป....
ดร.ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี