นับจากนี้ไปจนถึงวันเลือกตั้ง ข่าวการย้ายพรรคเปลี่ยนสังกัดของนักเลือกตั้งในสังคมการเมืองไทยคงมีออกมาเป็นระยะๆ จะว่าไปแล้วเรื่องของการย้ายพรรคนั้น สำหรับการเมืองบ้านเราไม่ได้ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกใหม่หรือแปลกประหลาดแต่ประการใด กลับเป็นเรื่องปกติไปด้วยซ้ำ
เพราะในความคิดของผู้ที่มีอาชีพรับเลือกตั้งหรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า นักเลือกตั้ง ผู้ที่มีแหล่งทำมาหากินอยู่ในอาณาบริเวณสังคมการเมืองไทย การย้ายพรรคนั้นไม่ได้เป็นเรื่องเสียหายร้ายแรงแต่ประการใด เป็นเรื่องที่สามารถทำได้อย่างสบายๆ ไม่มีอะไรที่ต้องตะขิดตะขวงใจ ยกเว้นอย่าให้มันไปขัดรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นๆ เท่านั้นก็เป็นอันใช้ได้
นักเลือกตั้งบางคนเคยย้ายพรรคมาแล้วเกือบสิบครั้ง ตั้งแต่พรรคคการเมืองอุดมการณ์แบบสังคมนิยม ➝ เสรีนิยมประชาธิปไตย ➝ อำนาจนิยม ➝ ประชานิยม ➝ ชาตินิยม ➝ ฯลฯ
บางคนเคยอยู่ทั้งกับพรรคที่เป็นสถาบันการเมืองไม่ยึดติดกับตัวบุคคล แล้วก็ย้ายมาอยู่กับพรรคที่เป็นปัจเจกชนนิยมที่พึ่งพิงหรือใช้จุดขายของหัวหน้าพรรคเพียงคนเดียว เรื่อยมาจนถึงพรรคเฉพาะกิจที่ถูกตั้งขึ้นมาตามเทศกาลของบ้านเมือง
ที่นี้ถ้าถามต่อไปว่า.....แล้วทำไมพวกนักเลือกตั้งบ้านเราถึงได้ชอบย้ายพรรคกันนักคำตอบหนึ่งที่กระชับง่ายๆ ก็คือ พวกเขาเหล่านั้นเป็นเพียงแค่นักเลือกตั้งเท่านั้น ไม่ได้เป็นนักการเมืองอาชีพในความหมายที่แท้จริง (Politician as a Profession) เพราะความแตกต่างข้อหนึ่งระหว่างนักเลือกตั้งกับนักการเมือง(ที่แท้จริง) นั้นน่าจะอยู่ตรงในเรื่องของอุดมการณ์ทางการเมืองซึ่งก็คือ ความเชื่อ ความศรัทธาในเรื่องทางการเมืองของพวกเขา
ความคิดของนักเลือกตั้งนั้น มักจะใช้อุดมการณ์เป็นเพียงสิ่งฉาบหน้า หรือภาพลวงตาของสิ่งอื่นซึ่งอำพรางอยู่ สิ่งนั้นก็ได้แก่ผลประโยชน์อันแท้จริงของพวกเขา นักเลือกตั้งเหล่านี้จะใช้อุดมการณ์ หรือ ความสำนึกอันจอมปลอม (false consciousness) ในภาษาแบบมาร์กซิสต์ เป็นอุปกรณ์เพื่อทำหน้าที่ในการสนับสนุนผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง
นักเลือกตั้งเชื่อว่า การเมืองคือเรื่องของอำนาจ ทุกคนต่างดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ได้อำนาจ เนื่องจากอำนาจช่วยปกป้องผลประโยชน์ที่มีอยู่และส่งเสริมผลประโยชน์เหล่านั้น อำนาจและผลประโยชน์เป็นสิ่งคู่กัน เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ พวกเขาเชื่อว่า อำนาจและผลประโยชน์ในแต่ละเรื่อง แต่ละสถานการณ์ย่อมแตกต่างกัน และเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป อำนาจและผลประโยชน์เหล่านี้ก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย
ดังนั้นในมุมมองของนักเลือกตั้งที่ชอบย้ายพรรค การย้ายพรรคก็อาจจะเปรียบเสมือนการย้ายบริษัท หรือเปลี่ยนที่ทำงาน เพราะในขณะที่พนักงานบริษัทย่อมย้ายจากบริษัทเก่าที่ให้เงินเดือนน้อยไปสู่บริษัทใหม่ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ฉันใดก็ฉันนั้น นักเลือกตั้งเหล่านี้ก็ย่อมย้ายจากพรรคเก่าไปพรรคใหม่ที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า เช่นกัน
ทั้งนี้ผลตอบแทนที่นักเลือกตั้งพวกนี้ได้ อาจจะไม่จำเป็นที่จะมาในรูปตัวเงินเพียงอย่างเดียว บางครั้งผลประโยชน์ที่พวกเขาได้อาจจะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าในทางสังคม เช่น สิทธิพิเศษบางอย่าง ยศถาบรรดาศักดิ์ เรื่อยไปจนกระทั่งกฎระเบียบและนโยบายบางอย่างที่เอื้อให้พวกเขาได้รับผลประโยชน์
นักเลือกตั้งมักแยกการเมืองกับศีลธรรมออกจากกัน โดยมองว่ากฎเกณฑ์ทางศีลธรรมเป็นคนละเรื่องกันกับการเมือง การนำหลักศีลธรรมสากลมาใช้กับการกระทำทางการเมืองโดยตรงย่อมไม่อาจใช้ได้ ดังนั้น จึงต้องปรับให้เข้ากับสถานการณ์ความเป็นจริง พวกเขาจะไม่ให้ความสำคัญของศีลธรรมต่อการดำเนินการทางการเมือง ดังเช่น ความพยายามของนักเลือกตั้งบางพรรคที่ต้องการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๖๐ (๕) ที่บัญญัติว่ารัฐมนตรีต้องไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
อย่างไรก็ตาม ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น การย้ายพรรคนั้นเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ ไม่ได้เป็นการก่ออาชญากรรมทางการเมืองแต่ประการใดตราบเท่าที่มันยังอยู่ในกรอบของกฎหมาย เพราะบางครั้งนักเลือกตั้งบางคนก็ย้ายพรรคด้วยสาเหตุที่ว่าพวกเขาไม่สามารถที่จะมีเจริญเติบโต ก้าวหน้าภายในพรรคนั้นๆ ได้ หรือมีเหตุการณ์ความแตกแยกภายในพรรค ไปจนถึงการถูกยุบพรรค
ดังนั้น บางครั้งการย้ายพรรคก็ไม่ใช่เรื่องของการขายตัวหรือการอยากกินกล้วยเสมอไปเพราะถึงแม้บรรดานักเลือกตั้งทั้งหลายเหล่านี้จะสูญเสีย “พรหมจรรย์ทางการเมือง”(political virgin) ให้กับพรรคการเมืองแรกที่พวกเขาเลือกไปแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังคงสามารถที่จะรักษา “ความบริสุทธิ์ทางการเมือง”(political celibate) เอาไว้ได้ ตราบเท่าที่เหตุผลการเปลี่ยนไปอยู่กับพรรคใหม่ไม่ได้มีแรงขับเคลื่อนมาจากอุดมการณ์หรือความสำนึกอันจอมปลอม
แต่ก็มีไม่น้อย ที่นักเลือกตั้งไทยบางคนชอบที่จะใช้ “พรหมจรรย์ทางการเมือง” ของตนเองเป็นเพียงสิ่งบังหน้าให้กับพรรคการเมืองแรกในชีวิตการเมือง และก็ยังสามารถที่จะแสดง “ความบริสุทธิ์ทางการเมือง”ของตัวเองต่อไปได้เรื่อยๆ ในการเปลี่ยนไปสู่อ้อมอกของพรรคที่สาม-สี่-ห้า-หก...แล้วหวนวกกลับมาหาพรรคการเมืองแรกที่ตนเองเคยเสียพรหมจรรย์ทางการเมืองไปให้แล้วก็มี
พูดถึงตรงนี้ ก็ทำให้นึกถึงปรัชญาการเมืองของ เพลโต ที่ว่าด้วยความรักกับการเมืองที่บอกว่าจริงๆ แล้วการเมืองกับความรักนั้นเป็นสิ่งที่แทบจะแยกจากกันไม่ออก เพราะการที่จะมี “การเมืองที่แท้จริง” (true politics) ได้ เราก็ต้องมี “รักที่แท้จริง” (true love) ต่อการเมืองนั้นก่อน
โดย “การเมืองที่แท้จริง” ก็ต้องเริ่มต้นจากเรื่องของศรัทธาที่แรงกล้า ในขณะ “รักแท้” ก็คือการที่เราเลือกที่จะอยู่กับมันไปตลอด
แต่คำถามที่น่าสนใจก็คือ แล้วมีพรรคการเมืองไหนบ้าง ที่มีคุณค่าพอที่จะให้นักการเมืองผู้ที่มีรักแท้กับการเมืองที่แท้จริง เต็มใจที่จะเสีย“พรหมจรรย์ทางการเมือง” ของตนเอง โดยที่พวกเขาเหล่านั้นก็ยังคงสามารถที่จะรักษา “ความบริสุทธิ์ทางการเมือง” เอาไว้ให้กับพรรคการเมืองนั้นตลอดชีวิตทางการเมืองของพวกเขา
ดร.ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี