เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา มีการชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่เกิดขึ้นที่สหรัฐฯ มีชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า“No Kings Day” เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจากกลุ่มผู้ประท้วงมองว่าประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และการดำเนินงานของรัฐบาลภายใต้เขา (ในสมัยที่สอง) มีลักษณะเบี่ยงเบนไปสู่การปกครองแบบอำนาจนิยม (authoritarianism) และแบบราชา (king-style) มากกว่าระบอบประชาธิปไตย
No Kings Day เมื่อเสาร์ที่แล้ว เป็นการชุมนุมประท้วงทรัมป์ที่ต่อเนื่องมาจากการชุมนุมวันที่ 14 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่รัฐบาลทรัมป์จัดพิธีสวนสนามครบรอบ 250 ปีของกองทัพบกสหรัฐฯ ซึ่งตรงกับวันเกิดครบรอบ 79 ปีของทรัมป์พอดี
การเมืองสหรัฐอเมริกาในช่วงทศวรรษ 2020s เป็นภาพสะท้อนของความขัดแย้งระหว่างสองอุดมการณ์หลัก คือ “ลัทธิประชาธิปไตยแบบเสรีนิยม” (liberal democracy) กับ “ลัทธิประชานิยมแบบอำนาจนิยม” (authoritarian populism) ซึ่งปะทุขึ้นชัดเจนในสมัยที่สองของทรัมป์ หลังปี 2024 เมื่อแนวทางการบริหารประเทศของเขาถูกวิจารณ์ว่า ก้าวล่วงขอบเขตของระบบถ่วงดุลอำนาจ (checks and balances) และกระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชนในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น กรณีหน่วยทหารหรือกองกำลังภายในถูกนำมาใช้กับพลเรือนภายในประเทศรวมถึงการตรวจคนเข้าเมืองที่ถูกมองว่าใช้ยาแรง และการกวาดล้างผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายด้วยวิธีที่ต่ำกว่าสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
การชุมนุม No Kings Day ที่เกิดขึ้นในวันเสาร์ที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นการประท้วงครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ (ในแง่การมีผู้เข้าร่วม) ถ้าตัวเลขผู้ร่วมชุมนุม 7 ล้านคนใกล้เคียงจริง ก็ถือว่าเกิน 2% ของประชากรสหรัฐฯ และสร้างความตื่นตัวของสังคมอย่างมาก เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เพียงสะท้อนการต่อต้านทรัมป์ หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นพลังประชาธิปไตยแบบรากหญ้าในประเทศที่ถือว่ามีประชาธิปไตยมั่นคงที่สุดในโลก การเดินขบวนของชาวอเมริกันกว่า 7 ล้านคน ใน 2,600 เมืองทั่วสหรัฐฯ และอีกอย่างน้อย 15 ประเทศในยุโรป รวมไปถึงเม็กซิโกและญี่ปุ่น ไม่ใช่เพียงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ แต่เป็นการส่งสัญญาณทางการเมืองต่อไปยังทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันในการปรับโครงสร้างของพรรค
การชุมนุม No Kings มีที่มาจากความรู้สึกของประชาชนจำนวนมากว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ขยายอำนาจบริหารจนมีลักษณะกึ่งราชา (quasi-monarchical power) ทั้งในทางนโยบายและสัญลักษณ์ การใช้คำว่า “No Kings” จึงสื่อถึงหลักการก่อตั้งประเทศสหรัฐฯ ที่ปฏิเสธระบบกษัตริย์ตั้งแต่ประกาศอิสรภาพในปี 1776 (๒๓๑๙) และย้ำว่าประเทศนี้ควรปกครองด้วยอำนาจของประชาชน ไม่ใช่ด้วยอำนาจของบุคคลผู้หนึ่ง
สื่อหลักอย่าง AP News และ Reuters รายงานว่าการชุมนุมเกิดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงทั่วประเทศมีผู้เข้าร่วมหลากหลายกลุ่ม ตั้งแต่คนทำงานชนชั้นกลาง นักศึกษา กลุ่มสิทธิสตรี ไปจนถึงอดีตข้าราชการทหาร โดยผู้จัดประเมินว่ามีผู้เข้าร่วมมากกว่า 7 ล้านคนทั่วประเทศ โดยราว 57% เป็นผู้หญิงและมีอายุเฉลี่ย44 ปี และส่วนใหญ่เป็นคนผิวขาว (86%) บรรยากาศโดยรวมของการชุมนุมเหมือนงานเดินขบวนหรือเทศกาลมากกว่าการประท้วงแบบรุนแรงทั่วๆ ไป เน้นสัญลักษณ์ มีขบวนวงดนตรี การแสดงศิลปะ เครื่องแต่งกายแฟนซี สัญลักษณ์ตลกๆ เพื่อสื่อสารและแสดงความเป็นเอกภาพของประชาชน
สิ่งที่สำคัญคือ No Kings ไม่ใช่ขบวนการเฉพาะกลุ่มการเมืองหนึ่ง แต่เป็นขบวนการเคลื่อนไหวที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ซึ่งเรียกร้องให้ทั้งสองพรรคหลัก โดยเฉพาะพรรครีพับลิกัน กลับมายึดมั่นในหลักนิติรัฐและการตรวจสอบอำนาจบริหาร
Sidney Tarrow ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยคอร์เนล ได้เคยตั้งข้อสังเกตไว้เมื่อกว่ายี่สิบปีที่ผ่านมาว่า ขบวนเคลื่อนไหวทางสังคมจะเติบโตได้ก็ต่อเมื่อ “โครงสร้างโอกาสทางการเมือง” เปิดออก เช่น เมื่อรัฐอ่อนแรง เมื่อชนชั้นนำแตกแยก หรือเมื่อมีพันธมิตรภายในระบบ เหตุการณ์ No Kings เกิดขึ้นท่ามกลางเงื่อนไขเหล่านี้เกือบทั้งหมด ดังเช่น
การแตกแยกของชนชั้นนำทางการเมือง: โดยไม่จำเป็นต้องพูดถึงความแตกแยกระหว่างสองพรรคใหญ่ที่เริ่มก่อตัวมาตั้งแต่เมื่อสามสิบกว่าปีก่อนสมัยบิล คลินตัน เป็นประธานาธิบดีและนายนิวต์กิงริช เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร แม้ในพรรครีพับลิกันเอง ก็มีปีกที่ต่อต้านทรัมป์ เช่น กลุ่ม LincolnProject และ กลุ่ม Republicans for Rule of Law ซึ่งเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมแบบดั้งเดิม เริ่มออกมาตั้งคำถามถึงความชอบธรรมทางศีลธรรมของพรรค มองว่าทรัมป์กำลังบ่อนทำลายพรรคจากภายใน ส่วนฝ่ายMAGA Republicans ยังคงยึดทรัมป์เป็นศูนย์กลางอย่างเหนียวแน่น
การอ่อนแรงของสถาบันตรวจสอบ: ชาวอเมริกันกำลังรู้สึกว่าระบบตรวจสอบถ่วงดุลถูกท้าทาย ศาล รัฐสภา หรือองค์กรอิสระ ไม่สามารถจำกัดอำนาจรัฐบาลได้เต็มที่ และความเชื่อมั่นต่อสถาบันดังกกล่าวก็ลดลงต่ำสุดในรอบ 30 ปี (จากผลสำรวจ Pew Research 2025) ทำให้ภาคประชาชนรู้สึกว่าต้องเข้ามามีส่วนร่วม
การสื่อสารดิจิทัล: สื่อสังคม เช่น TikTok, Threads และ X กลายเป็นช่องทางระดมมวลชนสำคัญ คล้ายกับการเคลื่อนไหว Arab Spring ในทศวรรษที่ 2010s, Women’s March ปี 2017 หรือ ล่าสุดก็ที่เนปาล ที่เรียกกันว่า Gen Z protestsแต่เหตุการณ์ No Kings Day มีระดับการจัดการสูงกว่า โดยองค์กรผู้จัดการชุมนุมในแต่ละรัฐถูกฝึกมาอย่างดีในเรื่องการจัดการชุมนุมด้วยความสงบ สันติ สนุกสนาน และปราศจากความรุนแรง
พรรคเดโมแครตได้รับอานิสงส์โดยตรงจาก No Kingsแม้ขบวนการนี้จะไม่ได้สังกัดพรรคใด แต่ด้วยความที่จุดยืนต่อต้านทรัมป์และเรียกร้องประชาธิปไตย สื่อและสาธารณชนจึงมองว่าเดโมแครตคือผู้รับสารทางการเมืองจากพลังของประชาชนใน No Kings Protests การชุมนุมครั้งนี้จึงเสมือนตัวเร่งปฏิกิริยาให้เดโมแครตยกเครื่องพรรคและสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ ภายหลังการพ่ายแพ้อย่างยับเยินจากศึกเลือกตั้งครั้งก่อน
ตรงกันข้าม รีพับลิกันที่กำลังเผชิญปัญหาการแตกแยกภายในพรรคครั้งใหญ่ ภายหลังเหตุการณ์ No Kings ซึ่งได้สร้างแรงกระเพื่อมให้พรรคที่จะต้องนิยามตนเองใหม่ว่า ต้องการเป็นพรรคประชาธิปไตยแบบอนุรักษ์นิยม หรือจะเดินหน้าตามเส้นทางประชานิยมอำนาจนิยมของทรัมป์ เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่ารีพับลิกันถูกผลักให้ยืนอยู่ในสถานะ “ผู้ปกป้องราชา” แทน
“ผู้ปกป้องรัฐธรรมนูญ” ไปเสียแล้ว
อีกมิติหนึ่งของ No Kings Protests คือ การฟื้นแนวคิดการเมืองภาคพลเมือง (civic politics)ที่ลดช่องว่างระหว่างประชาชนกับผู้แทน การมีผู้เข้าร่วมหลายล้านคนในรูปแบบสงบแต่ชัดเจนชี้ว่า อเมริกันชนยังเห็นคุณค่าในระบอบประชาธิปไตย เพียงแต่ไม่พอใจวิธีที่พรรคการเมืองใช้มัน การชุมนุม No Kings จึงเป็นพิธีกรรมแห่งการฟื้นความชอบธรรมของประชาธิปไตย เป็นโรงเรียนการเมืองภาคประชาชนที่หล่อหลอมอุดมการณ์ประชาธิปไตยแบบเข้มแข็งในระยะยาว ประชาชนไม่เพียงเดินขบวนเพื่อคัดค้านผู้นำ แต่เพื่อยืนยันอุดมการณ์ร่วมของชาติ
ภายหลังการชุมนุม No Kings มีความพยายามจัดตั้งองค์กรภาคประชาชนในหลายรัฐ เช่น No Kings Foundation และ Citizens for Republican Democracyเพื่อขยายกิจกรรมด้านการศึกษาและเฝ้าระวังประชาธิปไตย กระบวนการนี้คล้ายการพัฒนา “Women’s March Network” หลัง 2017 ซึ่งต่อมาก็ได้กลายเป็นเครือข่ายทางการเมืองระดับชาติ
การประท้วง No Kings เป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองใหม่ที่น่าสนใจในสหรัฐฯ แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับการเมืองไทย ที่เคยมี “ขบวนการไม่เอาทักษิณ” มาตั้งแต่ยี่สิบปีที่แล้ว และพัฒนาขึ้นเป็น“ขบวนการไม่เอาระบอบชินวัตร” ในเวลาต่อมา
ดร.ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี