นับจากนี้ไป การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. ๒๕๖๐ จะเป็นหนึ่งในประเด็นที่ได้รับการถกเถียง แลกเปลี่ยนทัศนะกันอย่างกว้างขวางในสังคมไทย ภายหลังที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ได้ลงมติรับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เสนอโดย นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส. พรรคประชาชน เมื่อวันพุธที่ ๑๕ ตุลาคม ที่ผ่านมา
ประวัติศาสตร์การเมืองไทยฉากหนึ่ง นับจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จนถึงปัจจุบัน ก็เป็นเรื่องราวของความพยายามที่จะเขียนรัฐธรรมนูญให้เหมาะสมกับสังคมไทยที่ผ่านการใช้รัฐธรรมนูญมาแล้วมากมายหลายฉบับ เป็นหนึ่งในประเทศที่มีรัฐธรรมนูญมากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง และแม้กระทั่งต่อไปในอนาคต อย่างไรเสีย สังคมการเมืองไทยก็ยังจะคงอยู่ในวัฏจักรของการร่างรัฐธรรมนูญต่อไปอีกนาน
ดังนั้น คำถามที่น่าสนใจ ก็คือ เหตุใดประเทศไทยจึงมีปัญหามากมายนักในการเขียนรัฐธรรมนูญ ต้องเขียนต้องแก้กันหลายครั้ง
คำตอบหนึ่ง ก็คือ เพราะในการร่างรัฐธรรมนูญแต่ละครั้งที่ผ่านๆ มา คณะผู้ร่างมักจะใช้ความรู้และประสบการณ์เดิมในการร่าง ขาดการวิเคราะห์เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย อย่างลึกซึ้งของรัฐธรรมนูญต่างๆ ทั่วโลก เพื่อนำข้อดี-ข้อเสียเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับสภาพความเป็นจริงของสังคมไทย
สรุปก็คือ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับรัฐธรรมนูญกับสภาพการเมืองไทยที่ผ่านมา เป็นปัญหาความสัมพันธ์ที่ไม่ลงตัวระหว่างรูปแบบ (form) ของรัฐธรรมนูญที่ขอยืมมาจากประเทศตะวันตกกับเนื้อหา (substance) ของสังคมไทย ซึ่งย้อนกลับไปได้ตั้งแต่ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. ๒๔๗๕ ที่เป็น “ปฐมรัฐธรรมนูญ” หรือ รัฐธรรมนูญฉบับแรกที่แท้จริงของประเทศสยาม (คำว่า “ปฐมรัฐธรรมนูญ” เป็นคำของ ศาสตราจารย์ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ที่ผู้เขียนขออนุญาตนำมาใช้)
หลวงจักรปาณีศรีศีลวิสุทธิ์ (วิสุทธิ์ ไกรฤกษ์) ได้เขียนไว้ในหนังสือ คําอธิบายธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม เปรียบเทียบกับประเทศต่างๆ ที่พิมพ์ออกมาเมื่อ ๒๗ กรกฎาคม ๒๔๗๕ หนึ่งเดือน หลังวันประกาศใช้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พ.ศ. ๒๔๗๕ ตอนนั้นท่านเป็นผู้พิพากษา อายุเพียง ๒๙ ปี ได้พูดถึงลักษณะทั่วไปของปฐมรัฐธรรมนูญว่า มีความตอนหนึ่งว่า
“.....นับว่าเป็นของประหลาดมหัศจรรย์อย่างหนึ่งในตํานานกฎหมายของโลก จะหาที่อื่นเปรียบได้ยาก จากตัวบทแห่งธรรมนูญปกครองที่พอสันนิษฐานได้ว่า ผู้ร่างตั้งใจจะเอาลัทธิและวิธีดําเนินการของประเทศที่มีธรรมนูญปกครองใหม่ๆ เช่น จีน รัสเซีย เติร์ก เข้าผสมกับลัทธิและหลักดําเนินการของประเทศที่มีธรรมนูญเก่าๆ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น รวมกันเข้าเป็นโครงแล้วปรับเข้ากับลัทธิและหลักการของประเทศสยาม.....”
อย่างไรก็ตาม ในปฐมรัฐธรรมนูญก็มีความคิดก้าวหน้าหลายเรื่องที่ล้ำหน้าไปกว่าประเทศต้นแบบ เช่น การไม่จํากัดเรื่องเพศเอาไว้สำหรับผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งในขณะนั้นประเทศตะวันตกไม่ว่าจะเป็นอังกฤษหรืออเมริกา สุภาพสตรียังไม่มีสิทธิเลือกตั้ง เช่น ประเทศอังกฤษก็ยังถูกตัดสิทธิ แม้จะมีสิทธิเลือกตั้งก็ต้องมีอายุ 30 ปี ซึ่งก็แก้ไขกันมาเรื่อย หรือผู้มีสิทธิเลือกตั้งในหลายประเทศในช่วงเวลานั้นยังต้องถูกกําหนดคุณสมบัติ เช่น ต้องเสียภาษีอย่างนั้นอย่างนี้จึงจะมีสิทธิเลือกตั้ง
ที่สหรัฐอเมริกากว่าสภาคองเกรสจะผ่านมติแก้รัฐธรรมนูญเรื่องสิทธิการเลือกตั้งของสตรีก็ต้องรอจนถึงปี พ.ศ. ๒๔๖๓ หรือ ๑๓๓ ปีหลังจากที่รัฐธรรมนูญถูกประกาศใช้เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๓๓๐ และกว่าสิทธินี้จะครอบคลุมผู้หญิงผิวดำและฮิสแปนิกอย่างแท้จริง ก็ต้องรอจนถึงหลังยุคขบวนการเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนในทศวรรษ 1960
แต่ปฐมรัฐธรรมนูญหรือธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราวฉบับนี้ ให้สิทธิอย่างกว้างขวาง อายุ 20 ปี ไม่ว่าชายหรือหญิง มีสิทธิที่จะไปเลือกตั้งได้
ในรัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๔๐ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในรัฐธรรมนูญที่ดีฉบับหนึ่งของไทย คณะผู้ร่างก็ขอยืมแนวคิดการเลือกตั้งแบบระบบสัดส่วน (party list) มาจากระบบการเลือกตั้งของประเทศเยอรมนี ยืมแนวคิดเรื่องหลักการระบบตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐมาจากระบบของประเทศฝรั่งเศส ยืมแนวคิดเรื่องการคุ้มครองส่งเสริมสิทธิเสรีภาพประชาชนมาจากสหรัฐอเมริกา แล้วใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ของการเมืองไทยว่ารัฐบาลผสมที่เกิดขึ้นในอดีตล้วนแล้วไม่มีความเข้มแข็ง ดังนั้น จึงนำไปสู่แนวคิดการเสริมสร้างเสถียรภาพให้กับฝ่ายบริหาร จนทำให้ได้รัฐบาลที่เข้มแข็งมาก เช่น รัฐบาลทักษิณ (๒๕๔๔-๒๕๔๘) ขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม เจตนารมณ์สำคัญของรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ ไม่ว่าจะเป็น การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชนอย่างครอบคลุม การตรวจสอบอำนาจรัฐโดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม และการสร้างความเข้มแข็งให้กับฝ่ายบริหาร ล้วนแล้วมีรูปแบบหรือต้นตอทางความคิดเหล่านี้ล้วนมาจากสังคมที่แตกต่างกัน ถ้าไม่มีการปรับกันอย่างถึงที่สุดแล้ว ก็คงแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะนำมาใช้กับเนื้อหาแบบไทยๆ ในสังคมหรือการเมืองไทย
อีกหนึ่งตัวอย่าง เช่น ประเด็นเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการเคารพสิทธิคนอื่นและการรักษาสิทธิตนเอง อันเป็นแนวคิดที่สำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา แต่ด้วยลักษณะสังคมและวัฒนธรรมไทยสามารถกล่าวได้ว่า แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเห็นการเคารพสิทธิของคนอื่นหรือรักษาสิทธิของตัวเองอย่างเคร่งครัดในความหมายอย่างที่ควรจะเป็น เพราะโดยพื้นฐานแล้วคนไทยไม่มีการรับรู้ว่าจริงๆ แล้วอะไรคือการเคารพสิทธิคนอื่นหรือรักษาสิทธิตนเอง ดังที่ นักวิชาการอาวุโสท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า...ถ้าอยากเข้าใจสังคมไทย ให้ดูจากสภาพการจราจรในกรุงเทพฯ.....เพราะพฤติกรรมการขับรถของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นการจอดรถ ขับย้อนศร ขับบนทางเท้า ไม่หยุดเมื่อมีคนข้ามตรงทางม้าลายลักษณะดังกล่าวเป็นภาพสะท้อนลักษณะของสังคมไทยได้ดี
ดังนั้น เมื่อเอาเนื้อหาของสังคมไทยใส่เข้าไปในรูปแบบที่ขอยืมคนอื่นมา ผลที่เกิดขึ้นตามมาก็คงจะหนีไม่พ้นวัตถุดิบหรือเนื้อหาที่ใส่เข้าไป ก็จะถูกบิดเบือนไปจากสารัตถะหรือแก่นจริงๆของมัน เพราะทุกวัฒนธรรม ทุกสังคมล้วนมีวิถีและวิวัฒนาการของตัวเอง
ฉะนั้น เมื่อเอาวิธีเขียนรัฐธรรมนูญแบบอเมริกา ฝรั่งเศสและเยอรมนีมาใช้กับประเทศไทย ผลลัพธ์ก็คือ มันก็คงจะใช้ไม่ได้หรือใช้ไม่ได้ดีเท่าที่มันควรจะเป็น เพราะเรื่องของรูปแบบ (form) อย่างไรเสียก็คงไม่สามารถแยกออกได้จากเนื้อหา (substance) การเขียนรัฐธรรมนูญที่ยืมรูปแบบมาจากตะวันตก ทำให้กรอบในการนำเสนอที่จะเอามาใช้กับสภาพความเป็นจริงในสังคมไทยถูกจำกัด ดังนั้น ถึงจะมีการแก้ไขหรือร่างรัฐธรรมนูญอีกกี่ครั้ง ก็ยังคงแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทยไม่ได้ ตราบเท่าที่ยังไม่ได้คิดที่จะสร้างสรรค์รูปแบบของเราเองขึ้นมาเพื่อใช้กับเนื้อหาที่มีลักษณะเฉพาะของสังคมไทยเอง
อย่างไรก็ตาม แม้คณะผู้ร่างหรือบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการร่างหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญจะรู้ว่ารูปแบบที่เรารับมาจากที่อื่นนั้นใช้การไม่ได้กับสังคมไทย แต่หลายๆ คนก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไร ซึ่งก็ทำให้คิดต่อไปอีกได้ว่า ระบบหรือสภาพที่มันใช้ไม่ได้แบบนี้เป็นแหล่งที่มาของอำนาจและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมของพวกเขา ใช่หรือไม่
ดร.ธิติ สุวรรณทัต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี