วันศุกร์ ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ชัยชนะของ โซห์ราน มัมดานี (Zohran Mamdani) จากพรรคเดโมแครต ในการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองนิวยอร์ก เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ถือเป็นเหตุการณ์ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ไม่เพียงเพราะเขาคือนักการเมืองรุ่นใหม่ ที่อายุน้อย (34 ปี) มีแนวคิดสังคมนิยมประชาธิปไตย ซึ่งในสหรัฐฯ ยังถือเป็นแนวคิดที่ท้าทายต่อการเมืองกระแสหลัก ทรัมป์ถึงกับเรียกเขาว่าเป็นพวกคอมมิวนิสต์ นอกจากนั้น มัมดานีก็ไม่ได้มาจากบ้านใหญ่ หรือมีเส้นสายการเมืองใหญ่แบบผู้สมัครทั่วไป เขาแสดงตัวอย่างเปิดเผยว่า เป็นคนนอกที่จะท้าทายโครงสร้างอำนาจแบบเดิม ยืนอยู่ตรงข้ามกับกลุ่มอำนาจเก่าในเดโมแครต สิ่งนี้ช่วยให้เขาได้รับความสนใจจากผู้ที่รู้สึกว่าการเมืองเมืองใหญ่นั้นถูกครอบงำโดยกลุ่มชนชั้นบน
มัมดานีเป็นส่วนผสมของหลายอัตลักษณ์ เป็นลูกชายของศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ชาวยูกันดาแม่เป็นผู้กำกับภาพยนต์เชื้อสายอินเดีย มัมดานีเป็นมุสลิม เกิดในยูกันดา โตในเคปทาวน์ และย้ายมาอยู่นิวยอร์กตอน 7 ขวบ เขาเติบโตท่ามกลางครอบครัวผู้อพยพที่เผชิญความยากจน เริ่มทำงานด้วยการเป็นที่ปรึกษาช่วยผู้ประสบปัญหาภาระหนี้บ้านในย่านควีนส์ จากวิกฤตสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ที่มีเครดิตต่ำ (วิกฤตซับไพรม์) ที่เกิดขึ้นในปี 2008 ประสบการณ์ทำงานชุมชนตรงนี้สร้างพื้นฐานความผูกพันตัวเขากับชุมชนคนเมืองนิวยอร์กที่มีปัญหาภาระเรื่องที่อยู่อาศัย ต่อมา ปี 2020 มัมดานีได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภารัฐนิวยอร์ก
นิวยอร์กเป็นมหานครใหญ่ จำนวนพลเมืองมาก เป็นศูนย์กลางของหลายๆ อย่าง ดังนั้นจึงมีปัญหามากมาย การทำงานในตำแหน่งพ่อเมืองนิวยอร์กจึงเป็นงานที่ท้าทายอย่างมาก ตอน บิล คลินตัน ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี สหรัฐฯ ครบสองวาระ เขาพึ่งอายุ 55 ปี ซึ่งยังถือว่าหนุ่มเกินไปที่จะวางมือทางการเมือง คลินตัน เคยคิดว่าจะลงรับสมัครเลือกตั้งเป็นนายกเทศมนตรีนิวยอร์ก เพราะเห็นว่ามันเป็นงานที่ท้ายทายไม่แพ้การเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ชัยชนะของมัมดานี มีปัจจัยหลายด้านที่รวมกันอย่างลงตัว โดยเฉพาะปัญหาวิกฤตความเป็นอยู่ของคนเมือง เพราะนิวยอร์กเป็นเมืองที่มีปัญหาค่าบ้านเช่าแพง การเข้าถึงที่อยู่อาศัยไม่ง่าย และภาระค่าสาธารณูปโภคสูง ซึ่งสร้างแรงกดดันให้กับครัวเรือนรายได้ต่ำและปานกลางมัมดานีใช้ประเด็นนี้เป็นแกนกลางของนโยบายการหาเสียง เช่น ตรึงราคาค่าเช่าสำหรับอพาร์ตเมนต์ที่อยู่ภายใต้กฎหมายควบคุมค่าเช่า ซึ่งนโยบายนี้ตรงกับความรู้สึกของคนเมืองว่า พวกเราไม่ถูกมองเห็นในระบบการเมืองเดิม กล่าวอีกนัยก็คือ นโยบายของมัมดานีเชื่อมโยงกับ“ความทุกข์ของชีวิตประจำวันโดยตรง” มากกว่าการพูดเรื่อง “อุดมการณ์แบบยิ่งใหญ่”
การผสานนโยบายกับชีวิตจริงแบบนโยบายของมัมดานี เช่น แช่แข็งค่าเช่า, รถบัสฟรี, ร้านขายของของรัฐบาลในเมือง เป็นนโยบายที่จับต้องได้และตรงความรู้สึกของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
นโยบายที่เชื่อมโยงชีวิตประจำวัน หรือการเมืองสไตล์มัมดานีเริ่มจากตรงนี้ เริ่มจากค่าเช่าบ้านและรถเมล์ฟรี เป็นการเมืองของชีวิตประจำวันของชาวนิวยอร์ก (New Yorker)
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำว่า “การเมืองของชีวิตประจำวัน” (Politics of Everyday Life หรือ Everyday Politics) กลายเป็นแนวคิดสำคัญที่อธิบายการเปลี่ยนแปลงของการเมืองยุคใหม่ เป็นการเมืองที่ไม่ได้เริ่มจากอุดมการณ์ใหญ่โต เช่น ซ้าย-ขวา หรือ เสรีนิยม–อนุรักษ์นิยม แต่เริ่มจากคำถามง่ายๆ ว่า “ชีวิตฉันดีขึ้นไหม” ดังเช่น การรณรงค์หาเสียงของมัมดานีที่ดูเรียบง่ายแต่กินใจ เขาไม่ได้พูดถึง “การปฏิรูปประเทศ” หรือ “การยกระดับเศรษฐกิจโลก” แต่เขาพูดว่า“ไม่มีใครควรถูกขับไล่ออกจากบ้าน เพียงเพราะไม่สามารถจ่ายค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นทุกปี”
ในอดีต “การเมือง” มักถูกมองว่าเป็นเรื่องไกลตัวเป็นเวทีของนักการเมือง พรรคการเมือง รัฐบาลและระบบราชการ แต่ในทศวรรษที่ผ่านมา การเมืองทั่วโลกกำลังเผชิญแรงสั่นสะเทือนจากคนรุ่นใหม่ ที่ไม่พอใจต่อระบบการเมืองแบบเดิม รู้สึกว่าพรรคการเมืองแบบเดิมไม่ตอบโจทย์ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าครองชีพ ที่อยู่อาศัย ความเหลื่อมล้ำ หรือโอกาสทางเศรษฐกิจ ความหมายของการเมืองเริ่มเปลี่ยนไป จาก “พื้นที่ที่เป็นทางการ” สู่ “พื้นที่สาธารณะ” ที่มองว่าการเมืองไม่ได้อยู่แค่ในรัฐสภา หรือในห้องประชุมใหญ่ แต่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น การเดินทางไปทำงาน, การจ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟ, การหาที่อยู่, การเข้าถึงอาหารราคาถูก พูดอีกแบบคือ การเมืองไม่ได้จำกัดอยู่ที่แค่เรื่อง “อำนาจรัฐ” แต่ยังรวมถึง อำนาจแบบอื่นๆ ที่กำหนดชีวิตเรา ตั้งแต่ราคาน้ำมันไปจนถึงสิทธิในการพักผ่อน
แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนฐานคิดว่า ปัญหาที่คนธรรมดาเผชิญทุกวัน เช่น ค่าเช่าบ้าน, ค่าเดินทาง,ค่าอาหาร, ภาระหนี้, เวลาการทำงานที่ยาวเกินไป ทั้งหมดล้วนเป็นผลของนโยบายทางการเมืองที่ถูกออกแบบไว้ในระดับบน ดังนั้น ถ้าการเมืองไม่ลงมาสัมผัสชีวิตประจำวัน การเมืองนั้นก็จะสูญเสียความหมาย
ชัยชนะของมัมดานีในนิวยอร์กสะท้อนพลังของแนวคิดนี้ได้ชัดเจน เขาไม่ได้พูดเรื่องสงคราม การต่างประเทศ หรือเศรษฐกิจมหภาค แต่พูดเรื่องเล็กที่เป็นเรื่องใหญ่ของผู้คนในมหานคร เช่น เรื่องค่าเช่าบ้าน,บัตรโดยสารรถบัสฟรี, ร้านขายของราคายุติธรรม มัมดานี เข้าใจสิ่งนี้ดี เขามองว่าความไม่เท่าเทียมในเมืองใหญ่มิได้เกิดจากนโยบายระดับชาติเพียงอย่างเดียว แต่ฝังอยู่ในประสบการณ์ประจำวันของความยากจน คนที่ต้องเลือกว่าจะจ่ายค่าเช่าหรือซื้ออาหาร คนที่เสียเวลาสองชั่วโมงบนรถบัสเพื่อไปทำงานค่าจ้างต่ำ เขาจึงออกแบบนโยบายให้ตอบโจทย์ตรงนั้น
มัมดานีไม่ได้เริ่มจากนโยบายใหญ่ แต่เริ่มจากการแก้ปัญหาค่าเช่าบ้านในย่านควีนส์ เขามองว่าการที่คนต้องเสียรายได้กว่า 40-50% ไปกับค่าเช่าเป็น “ภาษีความจน” ของระบบเมืองทุนนิยม ส่วนเรื่องร้านขายของราคายุติธรรม มัมดานีเสนอให้เทศบาลตั้งร้านขายของราคาถูกในชุมชนหรือย่านที่คนจนไม่สามารถเข้าถึงอาหารสดราคาถูกได้ เขามองว่าการเข้าถึงอาหารเป็น “สิทธิของพลเมือง” ไม่ใช่เรื่องของตลาดเสรี และเขายังเสนอให้ทำระบบขนส่งสาธารณะฟรีในนิวยอร์ก โดยใช้ภาษีจากอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจขนาดใหญ่ เขาให้เหตุผลว่า การเดินทางคือสิทธิพื้นฐานในการเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ
“...ถ้าคุณต้องเสียเงินเพื่อไปทำงาน นั่นคือการเก็บภาษีจากแรงงานโดยไม่ตั้งใจ...” นี่คือวาทะที่ทำให้คนเมืองรู้สึกว่ามัมดานีเข้าใจชีวิตจริง
ในทุกนโยบายของมัมดานีจะเห็นจุดร่วมคือ เขาเริ่มจากคำถามว่า คนธรรมดาใช้ชีวิตอย่างไร แล้วออกแบบนโยบายจากจุดนั้น สิ่งนี้สะท้อนว่าการเมืองของชีวิตจริงมักทรงพลังมากกว่าคำว่า “แก้รัฐธรรมนูญ” หรือ “ปฏิรูปประเทศ” ที่เป็นนามธรรม เป็นการเมืองที่เริ่มต้นจากเรื่องเล็กที่ใกล้ตัว
แนวคิด “การเมืองของชีวิตประจำวัน”ไม่ได้หยุดอยู่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างค่าเช่าบ้านหรือค่าขนส่ง แต่นำไปสู่คำถามใหญ่กว่านั้นว่า“รัฐจะออกแบบระบบให้ประชาชนไม่ต้องต่อสู้เพียงลำพังในทุกวันได้อย่างไร”
นี่คือจุดเชื่อมสำคัญระหว่างแนวทางของมัมดานีกับแนวคิดเรื่อง “รัฐสวัสดิการ” (Welfare State) เพราะรัฐสวัสดิการไม่ใช่แค่การแจกเงินหรือให้บริการฟรี แต่คือการจัดระบบสังคมใหม่ที่ทำให้ชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่ไม่ต้องอยู่แขวนอยู่บนเส้นด้าย
รัฐสวัสดิการในความหมายกว้างคือระบบที่รัฐเข้ามา“ลดความเสี่ยงของชีวิต” เช่น ความป่วยไข้ ความแก่การตกงาน หรือรายได้ไม่พอ แต่ในมิติของมัมดานีรัฐสวัสดิการไม่ใช่เพียงระบบดูแลเมื่อมีปัญหาแต่มันคือการออกแบบชีวิตประจำวันให้ไม่ต้องเสี่ยงตั้งแต่แรก ยกตัวอย่างเช่น
หากมีระบบขนส่งสาธารณะฟรี คนไม่ต้องแบกภาระค่าเดินทางไปทำงาน
หากมีบ้านราคายุติธรรม คนไม่ต้องทำงานเกินเวลาเพื่อจ่ายค่าเช่า
หากมีอาหารคุณภาพราคาถูก ความจนก็ไม่ได้หมายถึงการกินแต่อาหารแปรรูปหรือบะหมี่สำเร็จรูป
นั้นคือ จุดเชื่อมระหว่างการเมืองของชีวิตประจำวันกับรัฐสวัสดิการ ซึ่งก็คือการทำให้ “ชีวิตประจำวันเป็นพื้นที่ที่มั่นคงและปลอดภัยของพลเมือง”
ดร.ธิติ สุวรรณทัต

ถึงอ่างทองแล้ว! ชายพิการปั่นจักรยานจาก'แม่สาย-กรุงเทพฯ' กราบพระบรมศพ'พระพันปีหลวง'
เยี่ยม'น้องลูกชิ้น' เด็ก16ปีหนัก180 กก. แม่สุดปลื้มลูกชายจะกลับมาเดินได้
'โฆษกรัฐบาล'แจงนโยบาย'แก้ไขหนี้เสียต่ำแสน' ลดเงื่อนไขชำระ ให้ลูกหนี้กลับเข้าระบบ
'ในหลวง-พระราชินี'พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลต่างๆเฝ้าฯถวายเงิน
สวยงามแปลกตา! ยอดเขาแหลม ที่ทองผาภูมิ เปล่งประกายสีทองอร่าม

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี