การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย - กัมพูชา เที่ยวนี้ เอาเรื่องหยุดยิงเป็นหลัก เอาความสงบบริเวณชายแดนให้ชัวร์ก่อน
เพื่อพี่น้องประชาชนคนไทยตามแนวชายแดน จะได้กลับบ้านปลอดภัย
ส่วนเรื่องแนวเขตแดน เรื่องผลประโยชน์ของชาติเรื่องอื่นๆ ยังไม่ไช่วาระของ GBC เที่ยวนี้
1. เกี่ยวกับการหยุดยิง
GBC ไทย-กัมพูชา ได้ข้อสรุปร่วมกันว่า
“1. ยุติการใช้อาวุธทุกประเภท การโจมตีต่อพลเรือน เป้าหมายพลเรือน และเป้าหมายทางทหาร ในทุกพื้นที่และทุกกรณี
2. รักษาสถานะการวางกำลังในที่ตั้งปัจจุบัน สถานะตั้งแต่ 28 ก.ค.2568 โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายกำลัง และไม่มีการลาดตระเวนไปยังที่ตั้งของอีกฝ่าย
3. ไม่เพิ่มเติมกำลังตลอดแนวชายแดนไทย – กัมพูชา
4. ไม่กระทำการอันเป็นการยั่วยุที่ส่งผลให้เกิดความตึงเครียด การมีกิจกรรมทางทหารเข้าไปยังดินแดน เขตน่านฟ้า หรือที่ตั้งของอีกฝ่าย ตามสถานะการหยุดยิง ตั้งแต่ 28 ก.ค.2568 และไม่สร้างโครงสร้างพื้นฐานทางทหารล้ำออกไปนอกขอบเขตของฝ่ายตน
5. ไม่ใช้กำลังต่อพลเรือน หรือเป้าหมายทางพลเรือนในทุกกรณี
6. การปฏิบัติตามอนุสัญญาเจนีวา: การปฏิบัติต่อผู้ที่ถูกจับกุมตัว การขอส่งตัวผู้บาดเจ็บมารักษาในสถานพยาบาลของอีกฝ่าย โดยจะขึ้นอยู่กับศักยภาพในการรองรับของสถานพยาบาลแล้วแต่กรณี สำหรับทหารที่อยู่ในความควบคุมของอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รับการปล่อยตัวและส่งกลับประเทศ หลังจากยุติการใช้กำลังโดยสมบูรณ์ รวมทั้งอำนวยความสะดวกในการส่งคืนร่างผู้เสียชีวิตอย่างสมเกียรติโดยเร็ว และจัดการศพภายใต้สภาพที่ถูกสุขลักษณะและด้วยความเคารพ
7. กรณีมีความขัดแย้งกันด้วยอาวุธทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทั้งสองฝ่ายจะหารือกันในระดับปฏิบัติผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ เพื่อป้องกันการขยายตัวของสถานการณ์”
2. กลไกการดำเนินการในทางปฏิบัติ
เห็นชอบร่วมกันด้วยว่า
“ดำรงการติดต่อสื่อสารอย่างต่อเนื่องระหว่างหน่วยทหารในพื้นที่
จัดการประชุม RBC ภายใน 2 สัปดาห์นับจากการประชุม GBC ใน 7 ส.ค. 2568
ดำรงช่องทางการติดต่อสื่อสารโดยตรงระดับรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารสูงสุดของทั้งสองประเทศ
งดเว้นการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จหรือข่าวปลอม”
ขณะเดียวกัน ได้ร่วมกันกำหนดกลไกตรวจสอบการหยุดยิง ระบุว่า
“ทั้งสองฝ่ายต้องดำเนินการตามผลหารือเมื่อ 28 ก.ค. 2568 ซึ่งรวมถึงการหยุดยิงและการมีคณะผู้สังเกตการณ์จากประเทศสมาชิกอาเซียน นำโดยมาเลเซีย
เห็นชอบให้ RBC ในแต่ละพื้นที่ ดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิง โดยมีคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน ซึ่งนำโดยมาเลเซียเป็นผู้ร่วมสังเกตการณ์ โดย RBC จะพบกันเป็นประจำ และส่งรายงานให้ GBC ตามสายการบังคับบัญชาของแต่ละฝ่าย
ในระหว่างการจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนที่มีมาเลเซีย เป็นผู้นำ จะใช้กลไกคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว ซึ่งประกอบด้วยผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารประเทศสมาชิกอาเซียน ประจำประเทศไทย และกัมพูชา ทำหน้าที่แทนเป็นการชั่วคราว”
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะจัดการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ครั้งถัดไปภายในหนึ่งเดือนนับจากวันที่ 7 สิงหาคม 2025 (จะหารือเพื่อกำหนดสถานที่ต่อไป) หากไม่เป็นเช่นนั้น ให้มีการเรียกประชุม GBC สมัยวิสามัญโดยทันที โดยใช้รูปแบบเดียวกับการประชุม GBC สมัยวิสามัญในครั้งนี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับการหยุดยิง
3. ปฏิบัติการทางทหารที่ผ่านมา ถือว่า ฝ่ายไทยประสบความสำเร็จกว่า 90%
คือ ขับไล่ทหารเขมรออกจากพื้นที่ตามแนวเขตแผนที่มาตราส่วน 1 : 50,000 ตลอดแนวเขาพนมดงรัก เกือบทุกตารางนิ้ว
ยกเว้นบริเวณปราสาทตาควาย ที่ยังคากันอยู่
ลองคิดดู ถ้าไทยลงมือขับไล่ทหารเขมรออกไปก่อนหน้านี้ ไทยจะเผชิญปัญหาความชอบธรรมบนเวทีโลกทันที
แต่เมื่อฮุนเซนและพวกก่ออาชญากรรมสงครามเช่นนี้ก่อน ไทยจึงมีความชอบธรรมในการปกป้องประเทศเต็มที่
การสู้รบครั้งนี้ ทหารเขมรสังเวยชีวิตจำนวนมาก โลกไม่มีสิทธิประณามไทยเลย
ตรงข้าม คงมีแต่เห็นใจ เพราะเข้าใจ
การเจรจาเขตแดนหลังจากนี้ ถ้า กพช.ไม่ยอมรับตามแนวเขตที่ไทยยึดครองไว้แล้วเกือบหมด ก็จะทำอะไรได้ เมื่อทหารไทยยึดมาแล้ว และจะไม่มีวันคืน ตามที่กองทัพไทยประกาศมั่น
หาก กพช. จะละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ทหารไทยก็พร้อมปฏิบัติการไม่น้อยไปกว่าที่เคยปฏิบัติมา
การเจรจาเรื่องผลประโยชน์ทางทะเลอื่นๆ ก็เช่นกัน ฝ่ายฮุนเซนจะมาขีดเส้นเองคร่อมเกาะกูด เออออกันเองกับนักการเมืองบางคนเหมือนที่ผ่านมา ก็ต้องรู้แล้วว่า หากล้ำเส้น กองทัพไทยจะไม่มีการอ่อนข้อ
เว้นแต่ฮุนเซน อยากจะลองดูว่า เรือรบไทยยิงขีปนาวุธได้ไกลแค่ไหน
ประการสำคัญ หลังจากนี้ ถ้ารัฐบาลไม่ใช่ลิ่วล้อของสหายฮุนเซน จะต้องไม่ให้ชีวิตเลือดเนื้อของวีรชนสูญเปล่า ไม่ให้อำนาจต่อรองและความชอบธรรมที่ไทยได้มาสูญเสียไปแบบโง่ๆ จะต้องดำเนินการให้ฮุนเซนและแก๊ง ได้รับต้นทุนของการกระทำเลวร้ายครั้งนี้ด้วย
เพื่อจะเป็นหลักประกัน ลูกหลานไทยจะต้องไม่เจอกับพฤติกรรมผู้นำเพื่อนบ้านถ่อยเถื่อนแบบนี้อีกต่อไป
ซึ่งดูแล้ว ฝ่ายการเมืองในรัฐบาลปัจจุบัน ไม่เป็นที่ไว้วางใจเลย ควรจะเร่งมีรัฐบาลใหม่ มีผู้นำประเทศที่คนไทยฝากชีวิตความมั่นคงของประเทศไว้ได้มากกว่านี้
4. คนไทยตาสว่างจากวาทกรรมส้มเน่า
คงจำได้ นายพิธา อดีตหัวหน้าพรรคส้ม เคยประกาศวาทกรรมที่คิดว่าโก้เก๋ เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 2566 ที่จังหวัดกาญจนบุรี
ใจความสำคัญระบุว่า “... ทหารมีไว้ทำไม ก็จะไปรบกับใคร สมมุติมีคนมารุกราน ผมก็ไม่เชื่อว่าคุณจะรบชนะด้วย แล้วอีกอย่างคือตอนนี้เป็นเรื่องของอาวุธ ประเทศที่อยู่ใกล้ๆ กัน ที่เคยทะเลาะกัน มันไม่ทะเลาะกันแล้ว ทุกวันนี้บางประเทศไม่ต้องมีกองทัพด้วยซ้ำไป ถ้าผู้นำฉลาดพอ..”
คงมีแต่ทาสทางสติปัญญาที่จะยังหลงใหลกับคำพูดประดิษฐ์ประดอย เอาความสะใจ แต่ไร้ความจริงใจ และไร้ค่า เมื่อเผชิญกับความเป็นจริงเช่นนี้
5. Pan Samudavanija ได้ประมวลบทวิเคราะห์ในสายตาสื่อการทหารต่างประเทศ มองทหารไทยในการรบครั้งนี้อย่างไร
ระบุว่า
“สื่อต่างชาติมองการรบไทย-เขมร
ไทยรบเขมรครั้งนี้สื่อต่างประเทศ เช่น Jane Defense Weekly, Military Watch Magazine and The Diplomat ล้วนมีทัศนะและข้อคิด เกี่ยวกับสถานะ การสู้รบและประเมินกองทัพไทย ตลอดจนการวางแผน, ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีและอาวุธที่เราใช้อย่างน่าสนใจ
ประเทศเพื่อนบ้านของเรา เช่น เวียดนาม มาเลเซีย แม้กระทั่งญี่ปุ่นถึงกับกล่าวว่า ไทย มีขีดความสามารถในการทำสงครามชนิดยิงไม่พลาดเป้าได้แล้ว
และนิตยสารต่างประเทศ ที่ระบุข้างต้นกล่าวว่า กองทัพไทยก้าวพ้นจากการทำสงครามแบบเก่า มาสู่การทำการรบแบบทันสมัย ใช้แผนการรบอัจฉริยะนับตั้งแต่ปี ค.ศ.๑๙๖๔ เป็นต้นมา
โดยกองทัพไทยมีศักยภาพไม่ต่างอะไรกับนาโต(NATO)ในการคิดวิเคราะห์และใช้ปัญญาประดิษฐ์ เหนือกว่าหลายชาติตะวันตก
นิตยสารต่างประเทศเหล่านั้นว่าระบบของกองทัพไทยใช้ C4ISR ซึ่งเป็นระบบควบคุม, สั่งการ, สื่อสาร, ข่าวกรอง, การเฝ้าควบคุมและการสอดแนม
ระบบนี้ กองทัพไทย นำมาแทนที่ระบบเก่า ซึ่งเป็นระบบควบคุมสั่งการและสื่อสารเท่านั้น
สื่อต่างประเทศต่างกล่าวว่าไทยรบกับเขมรครั้งนี้ ใช้ระบบก้าวหน้า ใช้สมองในการตัดสินใจใช้โดรนผลิตในประเทศ ที่ทำงานอย่างได้ผล ใช้ดาวเทียมและระบบ C4ISR อย่างได้ผลมีประสิทธิภาพ สู้กับฝ่ายเขมรที่ยังใช้ Conventional Warfare ไม่พัฒนา ไทยเคลื่อนกำลังกองทัพบก เรือ อากาศพร้อมเพรียงกัน
และทั่วโลกสนใจเป็นพิเศษ คือ ใช้เครื่องบินรบกริพเพนเป็นครั้งแรกในโลกที่ขึ้นบินทำสงคราม
สื่อมวลชนตะวันตกถามว่า ใครในกองทัพไทย อยู่เบื้องหลังการใช้ C4ISR และมีแผนอัจฉริยะ เริ่มตั้งแต่ ๑๙๖๔ แบบกองทัพนาโตที่นอร์เวย์ ทำให้ศักยภาพกองทัพไทยเทียบเท่าอิสราเอล ซึ่งมีการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการทำสงครามกับคู่ต่อสู้ในสนามรบ
ผมเชื่อว่าข้อสังเกตและคำวิจารณ์ของสื่อต่างชาติทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นไปในทางบวกต่อกองทัพไทยทั้งสิ้น
แสดงว่าพวกเขาได้รายงานเจาะลึกและเข้าถึงชั้นความลับไม่มากก็น้อย
ทำให้เชื่อว่าข้อมูลที่เขาได้รับน่าจะเป็นจริง ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่นำไปตีความดังที่ผมได้รวบรวมมา
อย่างไรก็ดี ขอแสดงความยินดีต่อกองทัพไทยด้วยครับ”
5. การใช้เครื่องบินรบกริพเพน
บทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์ Gripen ในสมรภูมิไทย–กัมพูชา: เมื่อการใช้กำลังทางอากาศอย่างยับยั้งชั่งใจ สะเทือนไปถึงระเบียงการเมืองยุโรป
เผยแพร่เพจข่าว นภาธิปัตย์ โดย น.อ.รัตนสุทธิ สุทธิแย้ม
ระบุว่า
“1. เมื่อแนวรบชายแดนกระเพื่อมถึงน่านฟ้าเหนือยุโรป
ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา นอกจากจะนำไปสู่การตอบโต้ทางทหารของไทยแล้ว ยังกลายเป็นเวทีปฏิบัติการจริงครั้งแรกของ JAS-39 Gripen เครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูงที่จัดหาโดยกองทัพอากาศไทยจากสวีเดน นับเป็นพัฒนาการสำคัญในมิติยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศของไทย แต่ขณะเดียวกันกลับก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมในระดับระหว่างประเทศ โดยเฉพาะต่อรัฐบาลสวีเดน ผู้ผลิตอาวุธที่กำลังเผชิญแรงกดดันจากภาคประชาสังคมและกลุ่มสิทธิมนุษยชนในยุโรป
2. ความระมัดระวังของกองทัพอากาศไทย: พฤติกรรมการใช้กำลังตามหลักมนุษยธรรม
แม้การใช้กำลังทางอากาศจะถูกวิจารณ์จากบางภาคส่วนในต่างประเทศ แต่ข้อเท็จจริงสำคัญคือ กองทัพอากาศไทยได้ปฏิบัติการอย่างมีความยับยั้งชั่งใจ โดยคำนึงถึงหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด ทั้งในด้านการเลือกเป้าหมาย การใช้กำลังแบบพอเหมาะพอควร (Proportionality) และการลดผลกระทบต่อพลเรือนให้น้อยที่สุด
การโจมตีทางอากาศของกองทัพอากาศไทยถูกออกแบบอย่างจำกัด (Limited Precision Strikes) และดำเนินการเฉพาะต่อ เป้าหมายทางทหารที่ชัดเจน เช่น ที่ตั้งทางยุทธวิธีของฝ่ายตรงข้ามที่เป็นต้นเหตุของการโจมตีพลเรือนไทยซ้ำซาก การเลือกใช้อากาศยาน Gripen ซึ่งมีระบบตรวจจับและชี้เป้าหมายด้วยความแม่นยำสูง ยังสะท้อนถึงความพยายามในการลดความเสียหายพลอยได้ (Collateral Damage) ตามมาตรา 51 ของ Additional Protocol I แห่งอนุสัญญาเจนีวา
3. Gripen กับแนวคิด “Coercive Air Power”: พลังบังคับที่แม่นยำและจำกัด
การใช้อำนาจทางอากาศของไทยในครั้งนี้ สามารถตีความได้ในกรอบของ “Coercive Air Power” โดยเฉพาะแนวทาง “Denial Strategy” ที่มุ่งทำลายศักยภาพของฝ่ายตรงข้ามในการดำเนินยุทธการเพิ่มเติม โดยไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจแบบทำลายล้าง
ตามหลักทฤษฎีของ Pape (1996) การบรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมืองผ่านอากาศยานโจมตีที่เลือกเป้าหมายอย่างรัดกุม จะช่วยหลีกเลี่ยงการทำให้สถานการณ์ลุกลามเกินควบคุม และยังสร้าง “ต้นทุนทางจิตวิทยา” แก่อีกฝ่าย ซึ่งตรงกับพฤติกรรมของไทยในสถานการณ์ปัจจุบัน...
บทสรุป : ปฏิบัติการ Gripen ไทยคือแบบจำลองของ “Air Power with Restraint”
การนำ Gripen เข้าสู่สนามรบจริงของกองทัพอากาศไทย ไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าเชิงยุทโธปกรณ์ แต่ยังเป็นกรณีศึกษาสำคัญของ การใช้อำนาจทางทหารอย่างยับยั้งชั่งใจ (Restrained Use of Force) ตามหลักสากล ภายใต้สถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการลุกลาม
การปฏิบัติการของไทยซึ่งจำกัดเป้าหมายอย่างเคร่งครัด และดำเนินการด้วยความรับผิดชอบตาม IHL จึงควรได้รับการรับรู้ในเชิงบวก มากกว่าการตกเป็นเหยื่อของการตีความด้านเดียวโดยไม่พิจารณาข้อเท็จจริงทางยุทธศาสตร์และกฎหมาย”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี