เวลานี้ตามย่านตลาดร้านถิ่นมีเสียงอื้ออึงจากการต่อรอง โดยใช้คำพูดที่“ทักษิณ ชินวัตร”เคยพูดพล่อยๆ อันเป็นนิสัยถาวรของบุคคลผู้นี้ ที่ชอบด้อยค่าและดูถูกคนอื่น ว่า“ร้อยบาทเอาขี้หมากองเดียว ยังไงอิอิ๊งค์ก็ไม่รอด”
นั้นก็หมายความถึง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนคนไทยตามตรอกซอกซอย เขาพูดถึง“มาดามแพทองโพย” หรือ“แพทองธารชินวัตร” นายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ ที่เวลานี้ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ และศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ กรณี“คลิปอัยศ”จากการเจรจากับ“ฮุน เซน”ทรราชแห่งเขมร
วาทะอันแสดงความอ่อนด้อยและเป็นปมมัดคอ“แพทองโพย” จนกลายเป็นคดีความทางการเมืองขึ้นสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ จากการเจรจากับ“ฮุน เซน” ที่ 36สว.ฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้ถอดถอน“แพทองธาร ชินวัตร”ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นั่นก็คือ“เพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัว ในลักษณะเป็นฝั่งเดียวกันกับกัมพูชา พร้อมที่จะทำตาม หรือจัดการตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการมาโดยตลอด” อันเป็นการละเมิดบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ(5) คือ ขาดความซื่อสัตย์สุจริต และฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงในการปฏิบัติหน้าที่
“เหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัว” ซึ่ง 36 สว.เห็นว่า จะส่งผลทำให้เป็นภัยภัยต่อความมั่นคงอาณาเขตไทย และอำนาจอธิปไตยของไทย อันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงและยากแก่การเยียวยาในภายหลัง โดยได้อ้างอิงบทสนทนาระหว่าง“แพทองธาร ชินวัตร”กับ“ฮุน เซน” เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน2568 ตามที่ปรากฏเสียงใน“คลิปอัปยศ” และได้นำมาบรรยายประกอบคำร้อง รวม 4 ตอน-ดังนี้
“ไม่อยากให้ uncle ไปฟังคนที่เป็นฝั่งตรงข้ามกับเรา เพราะว่าพอไปฟังฝั่งตรงข้าม อย่างพวกแม่ทัพภาค 2 อย่างเนี้ยค่ะ เป็นคนของฝั่งตรงข้ามหมดเลย ซึ่งพอไปฟังอย่างนั้นเสร็จ ก็ไม่อยากให้ท่านรู้สึกไม่ชอบใจ หรือว่าโกรธ เพราะจริงๆ แล้วไม่ใช่ความตั้งใจของเราเลยค่ะ” “เขาอยากจะดูเท่ เขาก็พูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติค่ะ” “บอกว่าจริงๆ แล้ว ถ้าท่านอยากได้อะไร ก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้” “จริงๆแล้ว ท่านจะเอาอะไรจริงๆ ให้บอกอิ๊งค์ได้เลย ยกหูบอกก็ได้ อันไหนไม่เป็นข่าว ก็คือไม่เป็นข่าว อันนั้นที่หลุดไป มันหลุดเพราะสื่อ เพราะไม่ได้คุยกับอิ๊งค์แค่สองคน มันคุยกันเป็นกลุ่มนะพี่(พี่คือล่ามที่ชื่อ“ฮวด”) มันเลยหลุดน่ะ แต่ถ้าคุยกับอิ๊งค์สองคน มันไม่มีหลุดอยู่แล้ว”
เพราะคำสนทนาดังกล่าวนี้เอง 36 สว.จึงระบุไว้ในคำฟ้องว่า “แพทองธารชินวัตร”พร้อมที่จะทำตาม หรือจัดการตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการมาโดยตลอด
ตามไปดูต่อ, ประเด็นดังกล่าวนี้“แพทองธารชินวัตร” ได้ชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยยืนยันว่า ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชน ในความสุจริตและเหมาะสม ในการดำรงตำแหน่งของตนแต่ประการใด
ทั้งนี้ “แพทองธาร ชินวัตร” หรือฉายา“แพทองโพย” ที่มีที่มาจากการใช้ไอแพดแทนสมองตนเอง โดยมีคน“เขียนโพย”ให้อ่าน ได้แก้ข้อกล่าวหาบางประเด็นดังนี้
ประเด็นแรกที่ปรากฎเสียงในคลิป “อยากได้อะไร ก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้” ซึ่งประเด็นนี้ “แพทองโพย”โดยมี“เนติบริกร”ที่ชื่อ“ดร.วิษณุ เครืองาม”เป็นกุนซือให้-ได้แก้ข้อกล่าวหาว่า
“ข้าพเจ้ามีแต่เพียงเจตนาที่ต้องการให้คู่เจรจาได้เสนอเงื่อนไขหรือความต้องการออกมาก่อน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการเจรจาเชิงผลประโยชน์ (PrincipledNegotiation) โดยการใช้เทคนิคสำคัญ คือ การตั้งคำถามเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริง (Interest-Based) ในลักษณะไม่โจมตีจุดยืนของคู่เจรจา แต่มุ่งทำความเข้าใจความต้องการที่อยู่เบื้องหลังมากขึ้น เพื่อจะได้นำมาพิจารณาเจรจาต่อรองเงื่อนไข ที่จะนำไปสู่การยุติความตึงเครียดที่เกิดขึ้น”
และ“ข้าพเจ้าไม่ได้มีเจตนาที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขที่เสนอมาทุกกรณีแต่อย่างใด ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อสมเด็จฮุน เซน ได้เสนอให้ฝ่ายไทยต้องยอมเปิดด่านก่อน แล้วฝ่ายกัมพูชาจะเปิดด่านหลังจากนั้นภายใน 5 ชั่วโมง ข้าพเจ้าก็เสนอกลับไปว่า ให้เปิดด่านพร้อมกัน ซึ่งสมเด็จฮุนเซน ไม่ได้ตอบรับหรือยอมรับในเงื่อนไขดังกล่าว และข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้มีการตอบรับในเงื่อนไขดังกล่าวของสมเด็จฮุน เซน เช่นเดียวกัน เนื่องจากข้อเสนอใดๆจากฝ่ายกัมพูชาก็ตาม ข้าพเจ้าจะต้องนำเงื่อนไขดังกล่าวไปพูดคุยกับฝ่ายความมั่นคงของไทยก่อน เพื่อร่วมกันพิจารณาและตัดสินใจ”
ประเด็นต่อมา เรื่อง ที่“แพทองโพย”บอกกับ“ฮุน เซน”ทรราชเขมรสันดานอสรพิษผู้เปิดศึกรุกรานไทย ว่าพล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 “เป็นฝั่งตรงข้าม” ซึ่งเท่ากับว่า พล.ท.บุญสิน เป็นฝั่งตรงข้ามกับนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทยโดยปริยายนั้น-“มาดามแพทองโพย”แก้ข้อกล่าวหาว่าอย่างนี้
“ดังที่ข้าพเจ้าได้ชี้แจงข้างต้นว่า นายฮวด คนสนิทของสมเด็จฮุนเซน พยายามอธิบายมูลเหตุของการที่สมเด็จฮุนเซน สั่งการให้มีการปิดด่านชายแดนของฝ่ายกัมพูชา เนื่องมาจากความไม่พอใจของสมเด็จฮุนเซน ที่มีต่อแม่ทัพภาคที่2 เป็นการเฉพาะเจาะจง ข้าพเจ้าจึงจำต้องใช้เทคนิคการเจรจา ที่แบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล ไม่ได้เป็นการตำหนิติเตียนในทางลบ หรือแสดงให้เห็นว่าแม่ทัพภาคที่2 เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลไทยแต่อย่างใด แต่เป็นการอธิบายสถานการณ์ต่อฝ่ายกัมพูชาในเชิงสร้างความเข้าใจว่า ฝ่ายบริหารของไทยมีเจตนาที่จะรักษาสันติ และไม่ได้เป็นการโอนอ่อนหรือเอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากแต่เป็นการดำเนินนโยบายโดยอาศัยหลักทางการทูต เพื่อรักษาเสถียรภาพของประเทศ และป้องกันความขัดแย้งที่อาจลุกลาม”
และอีกสามย่อหน้าถัดจากนี้ ที่“มาดามแพทองโพย”นายกรัฐมนตรีผู้ไร้สติปัญญา และอ่อนด้อยประสบการณ์ ตลอดจนความรู้ความสามาร พยายามจะแก้ตัวในประเด็นที่ไปบอกกับ“ฮุน เซน” ศัตรูหมายเลขหนึ่งของชาติไทย ว่า“พล.ท.บุญสิน พาดกลาง”เป็น“ฝั่งตรงข้าม” รวมทั้งข้อชี้แจงถึงเจตนาของตนในการเจรจาแบบ“เด็กน้อยลูกคุณหนูผู้ไร้เดียงสา”กับ“ฮุน เซน”-คือ
“อย่างไรก็ดี เมื่อเกิดความเข้าใจผิดขึ้น ข้าพเจ้าก็ได้มีการชี้แจงและกล่าวคำขอโทษต่อแม่ทัพภาคที่ 2 และแม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันต่อสาธารณชนว่า..ไม่ติดใจคลิปเสียงของข้าพเจ้า และไม่ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างนายกรัฐมนตรีกับแม่ทัพภาคที่ 2 และไม่ได้มีผลกระทบต่อการทำงานของกองทัพแต่อย่างใด”
“ทั้งนี้ การที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 บทสนทนาเกิดขึ้นภายหลังจากที่ได้รับแจ้งจากฝ่ายความมั่นคงว่า ทางการกัมพูชาไม่พอใจการเคลื่อนย้ายกำลังทหารของไทย ณ ช่องบก ซึ่งไม่เป็นไปตามที่ได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้าในวันที่ 8 มิถุนายน 2568 ข้าพเจ้าจึงจำเป็นต้องสื่อสาร เพื่อแยกบทบาทฝ่ายบริหารออกจากฝ่ายความมั่นคง ซึ่งสมเด็จฮุนเซน รู้สึกว่าเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงกับกัมพูชาในขณะนั้น และเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความไว้วางใจ ที่อาจนำไปสู่การเปิดเจรจาในระดับทางการต่อไป โดยไม่ใช้มาตรการทางทหารและทางเศรษฐกิจ อันอาจส่งผลกระทบแก่ประชาชนทั้งสองประเทศ”
“ความตั้งใจเดียวของข้าพเจ้าตลอดบทสนทนา จึงเป็นเรื่องการรักษาผลประโยชน์ของชาติ โดยไม่มีเจตนาจะได้มาซึ่งผลประโยชน์ส่วนตน ดังจะเห็นได้จากบทสนทนาว่า ไม่มีข้อความตอนใด ที่ข้าพเจ้าเรียกร้องเอาผลประโยชน์ให้ตกเป็นของตนเองหรือครอบครัวแต่อย่างหนึ่งอย่างใด หรือได้ถือเอาประโยชน์ส่วนตนเหนือกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติ หรือได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีโดยไม่ซื่อสัตย์สุจริต หรือแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ”
ทั้งนี้ทั้งนั้น อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับ ที่“แพทองโพย”ระบุไว้ในคำชี้แจง เพื่อหักล้างข้อกล่าวหาของ 36 สว.ตามที่ได้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ จะโดย“เนติบริกร”เขียนให้ หรือใครก็ตาม ว่า“ฮุนเซน”ที่เธอสนทนาด้วย “ไม่ได้มีสถานะตามกฎหมายภายในของประเทศตน หรือภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ที่จะสามารถกระทำการอันก่อให้เกิดผลผูกพันทางนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐได้”
ฟังคำแก้ตัวข้อนี้แล้ว ภาษาชาวบ้านเขาบอกว่า “เมื่อไอ้คุณวุ้นเส้นไม่มีตำแหน่งแห่งหนแล้ว ส.สระเอือใส่เกือกไปคุยกับมันหาพระแสงอะไรมิทราบ” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี