การประชุม“GBC”..หรือคณะกรรมการชายแดนทั่วไป“ไทย – กัมพูชา”..สมัยวิสามัญ..เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมวานนี้..ที่ประเทศมาเลเซีย..ได้ข้อยุติตามข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อ..และมีการลงนามร่วมกัน.. ระหว่าง พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ฝ่ายไทย..กับ..พล.อ.เตีย เซฮา รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงโหม ฝ่ายกัมพูชา นั้น..ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี
สำหรับข้อตกลง 13 ข้อ..จากการประชุม“GBC”ในครั้งนี้..โดยมีผู้แทนจาก 3 ประเทศเข้าร่วมสังเกตการณ์..คือ..มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน นั้น..มีดังนี้
1.ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน..ในการหยุดยิงด้วยอาวุธทุกชนิด ทั้งการโจมตีบุคคลพลเรือน..เป้าหมายทางพลเรือนและเป้าหมายทางทหารของแต่ละฝ่ายในทุกกรณีและทุกพื้นที่..ทั้งสองฝ่ายต้องหลีกเลี่ยงการโจมตีที่ไม่ได้เกิดจากการยั่วยุต่อที่ตั้งหรือกำลังของอีกฝ่ายหนึ่ง..โดยจะต้องไม่ละเมิดข้อตกลงนี้โดยเด็ดขาด
2. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน..ให้วางกำลังที่มีอยู่ในพื้นที่โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายกำลังที่ตั้งอยู่นับตั้งแต่เวลาหยุดยิงเมื่อ 24.00 น. (เวลาท้องถิ่น)..ของวันที่ 28 กรกฏาคม 2568..โดยจะไม่มีการเคลื่อนย้ายกำลัง..รวมทั้งการลาดตระเวนเข้าไปยังที่ตั้งของฝ่ายตรงข้าม
3. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันว่าจะไม่มีการเพิ่มกำลังเข้ามาตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา..ซึ่งหากมีการเพิ่มเติมกำลังเข้าในพื้นที่แล้ว..จะเป็นการเพิ่มบรรยากาศความตึงเครียดระหว่างกันมากยิ่งขึ้น..อันจะส่งผลกระทบต่อการแก้ไขปัญหาในระยะยาว
4. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันที่จะละเว้นจากการดำเนินการยั่วยุใดๆ..ที่อาจนำไปสู่ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น..รวมถึงการปฏิบัติการทางทหารเพื่อรุกล้ำเขตน่านฟ้า..ดินแดน..หรือที่ตั้งของอีกฝ่าย นับตั้งแต่เวลา 24.00 น. (เวลาท้องถิ่น).. ของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568..ซึ่งเป็นเวลาที่เริ่มหยุดยิง..ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะละเว้นจากการก่อสร้าง..หรือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางทหาร..หรือการเสริมความมั่นคงของที่ตั้งทางทหารล้ำออกไปนอกเขตของฝ่ายตน
5. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน..ในการงดเว้นการใช้กำลังทุกประเภทต่อบุคคลพลเรือน..และเป้าหมายทางพลเรือนโดยเด็ดขาด..ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ชายแดนแล้ว..ยังเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ..และส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ในเวทีระหว่างประเทศของฝ่ายที่ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง
6. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันในการปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ..ในเรื่องการปฏิบัติต่อทหารที่อยู่ในความควบคุมของฝ่ายตรงข้าม..ทั้งการดูแลในเรื่องความเป็นอยู่..ที่พักอาศัย..อาหาร..และการรักษาพยาบาลในกรณีได้รับบาดเจ็บ..ทั้งนี้..กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องการนำทหารหรือพลเรือนที่ได้รับบาดเจ็บ..ซึ่งไม่ได้อยู่ในความควบคุมของอีกฝ่ายเข้ามารักษาพยาบาล..ฝ่ายที่จะรับรักษามีสิทธิในการพิจารณาตามความพร้อมของสถานพยาบาล เวชภัณฑ์..บุคลากรทางการแพทย์..หรือจรรยาบรรณทางการแพทย์เป็นรายกรณี
โดยทหารที่อยู่ในความควบคุมจะต้องได้รับการปล่อยตัวและส่งกลับประเทศโดยทันทีหลังจากยุติการใช้กำลังโดยสมบูรณ์..เพื่อให้เป็นไปตามข้อ 118 แห่งของอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 3 ค.ศ. 1949 และกฎข้อ 128 (A)..แห่งของกฎหมายจารีตประเพณีของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ..ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร..และอำนวยความสะดวกในการส่งคืนร่างผู้เสียชีวิตอย่างสมเกียรติและโดยเร็ว.. ณ สถานที่ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบ..โดยให้การเคารพอย่างเคร่งครัดต่อหลักการมนุษยธรรม..และเขตอธิปไตยโดยไม่มีการข้ามพรมแดน..และรับประกันว่าจะมีมาตรการที่เหมาะสมเพื่อระบุอัตลักษณ์..และจัดการศพภายใต้สภาพที่ถูกสุขลักษณะและให้ความเคารพ..เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เสียชีวิตสูญหายหลังความตาย
7. กรณีมีการขัดกันด้วยอาวุธทุกชนิด..ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่เจตนา..ให้ทั้งสองฝ่ายร่วมกันหารือในระดับพื้นที่ผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่โดยเร็วที่สุด..เพื่อไม่ให้ความขัดแย้งขยายตัวเป็นความขัดแย้งตลอดแนวชายแดน..ซึ่งหากยืดเยื้อ จะทำให้กระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนและทหารของทั้งสองประเทศ..และเป็นการสร้างความตึงเครียดระหว่างกันเพิ่มมากยิ่งขึ้น..ซึ่งจะทำให้การแก้ไขปัญหาร่วมกันมีความยุ่งยากและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
8. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะ, 8.1 ดำรงการสื่อสารตามปกติระหว่างภูมิภาคทหารและหน่วยต่างๆ..ตามแนวชายแดนของทั้งสองฝ่าย..และมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาในทุกประเด็นด้วยสันติวิธีและหลีกเลี่ยงการปะทะกัน
8.2 จัดการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC)..ภายในสองสัปดาห์หลังจากการประชุมคณะกรรมาธิการชายแดนทั่วไป..(GBC) สมัยวิสามัญ ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2568 ตามระบบปกติในการหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพ
8.3 ดำรงช่องทางการสื่อสารโดยตรงอย่างสม่ำเสมอในระดับรัฐมนตรี..และผู้บัญชาการทหารสูงสุดของทั้งสองประเทศ
9. ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะงดเว้นการเผยแพร่ข้อมูลเท็จหรือข่าวปลอม..เพื่อลดความตึงเครียก..ลดความรู้สึกเชิงลบของสาธารณชน..และส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจรจาอย่างสันติ
10. ทั้งสองฝ่ายดำรงความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตามความเข้าใจร่วมกันที่เกิดขึ้นในการประชุมพิเศษเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2568..ซึ่งรวมถึงการหยุดยิงและการมีคณะผู้สังเกตการณ์จากประเทศสมาชิกอาเซียนซึ่งนำโดยมาเลเซีย..เพื่อติดตามให้การหยุดยิงเกิดขึ้นในทางปฏิบัติ
11. ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะมอบหมายให้คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ในแต่ละพื้นที่..ดำเนินการให้เกิดการหยุดยิง..โดยมีคณะผู้สังเกตการณ์จากประเทศสมาชิกอาเซียน..นำโดยประเทศมาเลเซียประสานงานและสังเกตการณ์..ทั้งนี้..คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) จะประชุมกันอย่างสม่ำเสมอ..และส่งรายงานไปยังคณะกรรมาธิการชายแดนทั่วไป (GBC)..ผ่านสายการบังคับบัญชาระดับชาติของแต่ละฝ่าย
12. ในระหว่างรอให้มีคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน..ซึ่งนำโดยประเทศมาเลเซียตามที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกัน ณ เมืองปุตราจายา..เมื่อวันที่ 28 กรกฏาคม 2568..คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team: IOT)..ซึ่งประกอบด้วยผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารของประเทศสมาชิกอาเซียนประจำประเทศไทยหรือกัมพูชา..และนำโดยผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารของประเทศมาเลเซีย..จะถูกจัดตั้งขึ้นในแต่ละประเทศ.. คือ..กัมพูชาและประเทศไทย เพื่อสังเกตการณ์การหยุดยิงของแต่ละฝ่ายอย่างสม่ำเสมอ..โดยคณะ IOT ในแต่ละประเทศจะได้รับเชิญไปสังเกตการณ์จากประเทศเจ้าภาพ..โดยมีการหารือกับประเทศมาเลเซีย..คณะ IOT จะสังเกตการณ์โดยไม่ข้ามพรมแดน..และจะประสานงานและปรึกษาหารือกับคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC)..และคณะกรรมาธิการชายแดนทั่วไป (GBC) ของแต่ละประเทศอย่างใกล้ชิด
13. ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะจัดการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ครั้งถัดไปภายในหนึ่งเดือน..นับจากวันที่ 7 สิงหาคม 2025 (จะหารือเพื่อกำหนดสถานที่ต่อไป)..หากไม่เป็นเช่นนั้น..ให้มีการเรียกประชุม GBC สมัยวิสามัญโดยทันที..โดยใช้รูปแบบเดียวกับการประชุม GBC สมัยวิสามัญในครั้งนี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับการหยุดยิง
ทั้งนี้ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์..ประธานกรรมการ“GBC”ฝ่ายไทย..ได้แถลงภายหลังการประชุมโดยย้ำว่า
“สิ่งที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้หารือและเห็นพ้องร่วมกันวันนี้..จะเกิดผลเป็นรูปธรรมได้..ต้องอาศัยความจริงใจและร่วมมือ..ขอยืนยันว่า..ฝ่ายไทยจะยึดมั่นในการให้ความร่วมมือ..อย่างสุจริตใจ..และจริงใจ..บนพื้นฐานการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี”
พร้อมกันนี้..พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์..ยังตั้งความหวังว่า..“กัมพูชาจะปฏิบัติตามเช่นกัน..ไทยและกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านมีพรมแดนติดกัน..และย้ายหนีจากกันไม่ได้..เป็นสมาชิกครอบครัวอาเซียน..หากแก้ไขปัญหาได้รวดเร็ว..จะนำสันติภาพมาสู่ชายแดน..และประชาชนจะได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติอีกครั้ง”
ทั้งหลายทั้งปวงนั้น..จะสัมฤทธิ์ผลหรือไม่..ก็อยู่ที่ความจริงใจของกัมพูชาเป็นหลัก..เนื่องจากสงครามที่เกิดขึ้นครั้งนี้..เป็นเพราะกัมพูชาโดย“2 พ่อลูกตระกูลฮุน”..คือ..“ฮุน เซน” และ “ฮุน มเนต”เป็นฝ่ายที่เปิดฉากรุกรานไทย
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม..ผลจากการประชุมครั้งนี้..อย่างน้อยก็สามารถดึงให้กัมพูชากลับเข้ามาสู่การประชุมทวิภาคีบนโต๊ะเจรจาได้..ซึ่งก็ต้องรอพิสูจน์กันต่อไปว่า..“2 พ่อลูกตระกูลฮุน”จะละเมิดข้อตกลงหรือไม่ ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี