วันอังคาร ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2568
“ตีงูต้องตีให้ตาย-อย่าตีให้หลังหัก” คนโบราณว่า เพราะถ้ามันไม่ตาย มันจะกลับมาทำร้ายคนตีในภายหลังได้ เฉกเช่นการทำสงครามกับกัมพูชาเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทยเรา จะต้องจัดการให้จบอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะคนอย่าง“ฮุนเซน”สันดานอสรพิษนั้น ไว้วางใจไม่ได้ ขืนปล่อยไว้มีแต่อันตราย
การทำสงครามกับกัมพูชาเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของเราครั้งนี้ อย่าไปซ้ำรอยเดิมเหมือนครั้งที่แล้ว ที่เรามีรัฐบาลซึ่งไว้วางใจไม่ได้ไปสมยอมกับกัมพูชา โดยการลงนามหยุดยิงอย่างไม่มีเงื่อนไขเมื่อวันที่ 28กรกฎาคม 2568 ที่ประเทศมาเลเซีย ระหว่างนายภูมิธรรม เวชยชัย นายกรัฐมนตรีรักษาการของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย กับ“ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งความผิดพลาดครั้งนั้นได้ส่งผลมาถึงวันนี้
สงครามกัมพูชารุกรานไทยครั้งแรก 5 วัน ระหว่างวันที่ 24-28 กรกฎาคม 2568 ในคราวนั้น มีประชาชนคนไทยรวมทั้งเด็กและผู้หญิงเสียชีวิตจากการโจมตีเป้าหมายพลเรือนของกัมพูชาใน 4 จังหวัด คือ ศรีสะเกษ, สุรินทร์, บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี รวมทั้งหมด 18 ศพ บาดเจ็บ39 คน ขณะที่ทหารไทยต้องพลีชีพเสียชีวิตไป 16 นาย บาดเจ็บ 233 นาย ซึ่งในจำนวนนี้ขาขาดถึง 7 นาย
ส่วนครั้งนี้ที่ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากรุกรานไทยรอบใหม่โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงบ่ายวันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา ที่ “ภูผาเหล็ก-พลาญหินแปดก้อน” อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ทหารกัมพูชาได้รุกล้ำเข้ามาในเขตไทยขณะที่ไทยกำลังปรับปรุงเส้นทางลาดตระเวน และใช้ปืนเล็กยาวยิงฝ่ายไทยก่อนตามด้วย“ปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลัง” (RecoillessRifle) จนเกิดการปะทะกันประมาณ 35 นาที ระหว่างหน่วยลาดตระเวนไทย“พัน.ร.13 ฉก.1” กับทหารกัมพูชา ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บ 2 นาย และเหตุการณ์ครั้งนี้ทางรัฐบาลไทยและกองทัพไทยได้ประเมินแล้วว่า สถานการณ์จะรุนแรงขึ้นและขยายเป็นวงกว้าง จึงได้มีการอพยพประชาชนใน 4 จังหวัดชายแดนตลอดแนว คือ ศรีสะเกษ, บุรีรัมย์, สุรินทร์ และอุบลราชธานี ไปยังศูนย์พักพิงตามแผนอพยพประชาชนได้ทันท่วงที
แล้วก็เป็นไปตามคาดการณ์ ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากระดมยิงถล่มทหารไทยในหลายพื้นที่ เริ่มจากเช้ามืดวันที่ 8 ธันวาคมเมื่อวานนี้ ที่ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืนจังหวัดอุบลราชธานี โดยเมื่อเวลา 05.05 น. ทหารกัมพูชาได้ใช้อาวุธปืนเล็กยาวยิงใส่ฝ่ายไทย ในพื้นที่ตำรวจตระเวนชายแดน 793 (ตชด.793) จนกระทั่งเวลา 07.00 น. ในพื้นที่ช่องบกอำเภอน้ำยืน ทหารไทยถูกโจมตีด้วยอาวุธยิงสนับสนุนทำให้เสียชีวิต 1 นาย และได้รับบาดเจ็บ 5 นาย อีกทั้งเมื่อเวลาประมาณ 08.30 น. ฝ่ายกัมพูชายังใช้จรวดหลายลำกล้อง“BM-21” ยิงถล่มเป้าหมายทางพลเรือนในฝั่งไทยที่บ้านสายโท หมู่ 10 อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ รวมทั้งยังได้เปิดพื้นที่การปะทะที่ช่องอานม้า ปราสาทคนา ปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ และห้วยตามาเรีย จังหวัดศรีสะเกษ
นอกเหนือจากนั้น จากการแถลงของ พล.ต.วินธัย สุวารีโฆษกกองทัพบก ก็ยังพบว่า กัมพูชามีการเตรียมความพร้อมทั้งกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ และอาวุธยิงสนับสนุนเพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฝ่ายกัมพูชามีการระบุพิกัดการใช้อาวุธระยะไกลในเขตพื้นที่ตอนในของฝั่งไทย ครอบคลุมพื้นที่ใกล้สนามบินบุรีรัมย์ และบริเวณพื้นที่ใกล้โรงพยาบาล ในอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนประมาณ 30 กิโลเมตร
ไม่เพียงแต่เท่านั้น เมื่อวันที่ 8 ธันวาคมวานนี้ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 1 ยังได้รับรายงานจากกองกำลังบูรพา พบว่าฝ่ายกัมพูชาได้เตรียมพร้อมรบสูงสุดตามแนวชายแดนในพื้นที่
จังหวัดสระแก้ว และมีการตรวจพบการเคลื่อนย้ายกำลังพลและยุทโธปกรณ์ รวมถึงอาวุธหนักเข้าที่มั่นอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดช่วงเช้าของเมื่อวานนี้นั้น ฝ่ายกัมพูชาได้เคลื่อนกำลังเข้าประชิดชายแดน และยังได้เฝ้าติดตามฝ่ายไทยอย่างใกล้ชิดอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์ลุกลามบานปลายมาถึงขั้นนี้แล้ว ไทยย่อมมีสิทธิอย่างชอบธรรมและเป็นไปตามหลักปฏิบัติสากล ซึ่งเมื่อวันที่ 8 ธันวาคมเมื่อวานนี้ ฝ่ายไทยโดยกองทัพอากาศจึงได้ใช้สิทธิปฏิบัติการทางอากาศเพื่อปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนไทย ด้วยการส่งเครื่องบินรบ“เอฟ-16” ถล่มกาสิโนช่องอานม้า ที่กัมพูชาใช้เป็นที่ตั้งฐานปฏิบัติการทุกอย่างเกี่ยวกับอากาศยานไร้คนขับ สำหรับโจมตีเป้าหมายพลเรือนไทย ซึ่งปฏิบัติการ“เสิร์ฟไข่”ครั้งนี้ตรงเป้าตรงจุด นอกจากกาสิโนช่องอานม้าแล้ว ก็ยังมีอีก 2 จุดที่กัมพูชาใช้เป็นที่ตั้งฐาน“การบังคับบัญชา”และฐานที่ตั้งอาวุธยิงสนับสนุน โดน“เสิร์ฟไข่”ด้วย คือที่ปราสาทคนา อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ และพื้นที่เสาวิทยุใกล้ปราสาทพระวิหาร
สรุปภาพทั้งหมด จากการแถลงของนายอนุทิน ชาญวีรกูล เมื่อวันที่ 8 ธันวาคมเมื่อวานนี้ที่ทำเนียบรัฐบาลภายหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ โดยมี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม, พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผบ.ทสส., พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ., พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ ผบ.ทร., พล.อ.อ.เสกสรร คันธา ผบ.ทอ. และนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมแถลงด้วยนั้น-คือ“ชักธงรบ”
นายอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งเป็นประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยตำแหน่ง กล่าวชัดเจนว่า “รัฐบาลขอยืนยันว่า ประเทศไทยจะดำรงความมุ่งมั่นสูงสุดในการปกป้องอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของชาติตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และสิทธิในการป้องกันตนเองโดยชอบธรรม และในวันนี้ได้มีการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ โดยมีมติยืนยันว่ารัฐบาลจะดำเนินการตามมติสภาความมั่นคงแห่งชาติ คือ จะมีปฏิบัติการทางทหารในทุกกรณีตามเงื่อนไขของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และให้มีการปฏิบัติการทางทหารในเรื่องอื่นๆ ที่มีความจำเป็น”
และอีกสามย่อหน้าจากการแถลงของนายอนุทินชาญวีรกูล
“รัฐบาลมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในความสามารถของกองทัพไทย ซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรอบคอบตามกฎการใช้กำลัง และยึดหลักมนุษยธรรมในการปกป้องพี่น้องประชาชน และรักษาความสงบเรียบร้อยตลอดแนวพื้นที่ชายแดน พร้อมกันนี้ รัฐบาลขอส่งกำลังใจและความห่วงใยไปยังพี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดนที่ต้องอพยพไปอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว รัฐบาลได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งด้านความเป็นอยู่และความปลอดภัย ที่พักพิง อาหาร น้ำดื่ม การบริการทางการแพทย์และสวัสดิการที่จำเป็นอย่างเต็มความสามารถ”
“เพื่อความถูกต้องของข้อมูล และเพื่อไม่ให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนก รัฐบาลขอวิงวอนให้ประชาชนติดตามข่าวสารจากช่องทางราชการเท่านั้น และมอบหมายให้กระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้สื่อสารข้อมูลหลักในทุกประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รัฐบาลจะบูรณาการข้อมูลร่วมกับทุกเหล่าทัพ และหน่วยงานความมั่นคงทุกระดับ เพื่อให้ข้อมูลที่ออกสู่สาธารณะมีความถูกต้อง ชัดเจน และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน”
“ขอให้พี่น้องประชาชนมั่นใจว่าการปกป้องประเทศชาติและความปลอดภัยของประชาชน คือภารกิจสูงสุดของรัฐบาลและกองทัพไทย ประเทศไทยไม่เคยต้องการเห็นความรุนแรง โดยยืนยันว่าประเทศไทยไม่เคยเป็นฝ่ายริเริ่มหรือรุกรานแต่อย่างใด แต่ประเทศไทยจะไม่ยอมให้มีการล่วงละเมิดอธิปไตย และจะดำเนินการอย่างมีเหตุมีผล รอบคอบ และยึดหลักสันติภาพ ความมั่นคง และมนุษยธรรมเป็นสำคัญ โดยรัฐบาลจะรายงานสถานการณ์ให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่อง และพร้อมดำเนินการทุกมาตรการที่จำเป็นเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ อธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และดูแลประชาชนอย่างดีที่สุด ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในรัฐบาล และในศักยภาพของกองทัพไทย และร่วมกันให้กำลังใจและสนับสนุนการปฏิบัติการทางทหารในครั้งนี้”
บรรทัดนี้ดังที่กล่าวไว้ในตอนต้น “ตีงูต้องตีให้ตาย-อย่าตีให้หลังหัก” หลังจากจัดการอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดด้วยปฏิบัติการทางทหารกับ“สันดานอสรพิษ”ที่ชื่อ“ฮุนเซน”แล้ว รัฐบาลไทยต้องจับ“ทรราชเขมร”ผู้นี้ ขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court - ICC)เพื่อดำเนินคดีฐานเป็น “อาชญากรสงคราม” ผู้ก่อ“อาชญากรรมสงคราม” รุกรานไทยด้วย!
รุ่งเรือง ปรีชากุล

โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งข้าราชการในพระองค์ ฝ่ายทหารชั้น นายพล นั่งรองผู้บัญชาการ รร. ทม. รอ.
ไทยก้าวใหม่ ออกแถลงการณ์กรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา
เปิดคลิปนาทีทหารไทย ยิงถล่ม อนุสาวรีย์ม้าทอง สัญลักษณ์กองพลสนับสนุนที่ 3 กัมพูชา
ห้ะ คิดได้ไง? สฤณี แขวะไทยรบเขมร เพราะ ฮุนเซ็น มีน้ำใจ
นิกรเดช บรรยายสรุปสถานการณ์ชายแดนไทย กัมพูชา ให้แก่คณะทูตานุทูต

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี