หลังการประชุม “GBC” ระหว่างไทย-กัมพูชา..เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา..โดยมีข้อตกลงร่วมกัน 13 ข้อนั้น..ก็มีมุมมองที่แตกต่างกันไป..ซึ่งจะให้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ตามที่เราอยากได้..คงเป็นเรื่องยาก..แต่อย่างน้อยก็สามารถดึงกัมพูชาที่ปฏิเสธการประชุมทวิภาคีก่อนเปิดศึกรุกรานไทย..กลับมาสู่จุดเดิมได้

ถ้าคนไทยจะโจมตีกันเอง..จากการรื้อฟื้นแบบ“สองคนยลตามช่อง”..ย้อนไปถึงรัฐบาลสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา..เรื่องนี้ก็คงเถียงกันไม่รู้จบ..เรียกว่าต่อยปากกันยังจบง่ายกว่า..เหมือนกับที่“สองพ่อลูกตระกูลฮุน”เอาปืนใหญ่และจรวดหลายลำกล้อง“BM-21”มาถล่มรุกรานอธิปไตยไทย..จนนำมาสู่การ“หยุดยิง”เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมเมื่อปลายเดือนที่แล้ว..และต่อเนื่องมาจนถึงการประชุม“GBC”

ถึงอย่างไรก็ตาม..ถ้าตัดตอนสั้นๆ เฉพาะหน้า..เกี่ยวกับสงครามกัมพูชารุกรานไทยครั้งนี้..ต้องโทษรัฐบาลชุดปัจจุบัน..เพราะถ้าสองตระกูลจากฝั่งไทยและฝั่งกัมพูชา..คือ“ตระกูลชิน”โดย“ทักษิณ ชินวัตร”..และ“ตระกูลฮุน” โดย“ฮวยเซง”หรือ“ฮุน เซน”..ที่คบหาเป็นเพื่อนมิตรแบบญาติสนิท..และพึ่งพาถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมามากกว่า 30..ไม่ขัดแย้งกันเองเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อน..เชื่อว่าไทยกับกัมพูก็อยู่กันได้ตามปกติ

ผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่าง“สองตระกูล”ที่มีอะไรเหมือนกัน..โดยฝั่งไทย“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นผู้ชักใย“แพทองธาร ชินวัตร”ลูกสาว..ส่วนฝั่งกัมพูชามี“ฮุน เซน”ชักใย“ฮุน มาเนต”ลูกชายนั้น..เรื่องแรก..น่าจะมาจากเรื่องผลประโยชน์แหล่งปิโตรเลียมที่เกาะกูด..จังหวัดตราด..มูลกว่า 2 ล้านล้านบาท..ซึ่ง“ทักษิณ”ทำไม่ได้เหมือนราคาคุย..เนื่องจากถูกประชาชนคนไทยคัดค้าน

กับอีกเรื่องหนึ่ง..คือ..เรื่องกาสิโนและการพนันออนไลน์..ที่เป็นนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทย..ซึ่งถ้าเดินหน้าไปได้..ก็จะไป“ทับเส้น”กับบ่อนการพนันและ“ธุรกิจสีเทา”ทั้งหลาย..อันเป็นผลประโยชน์ของ“ฮุน เซน”ในฝั่งกัมพูชา..เรียกว่าถึงขั้น“เพื่อนรักหักเหลี่ยม”กันเลยทีเดียว

ทั้งสองเรื่องที่ว่านั้น..จึงกลายเป็นความหมางใจระหว่างสองตระกูล..ที่มีชาติบ้านเมืองและประชาชนของทั้งสองประเทศเป็น“ตัวประกัน”..และในที่สุดก็กลายเป็น“เหยื่อบริสุทธิ์”..ต้องบาดเจ็บล้มตายกันเป็นร้อยเป็นพันคนทั้งพลเรือนและทหาร.. กว่าจะหยุดยิงกันได้..โดยที่แม้วันนี้ไทยก็ยังไว้วางใจกัมพูชาไม่ได้

สำคัญที่สุด..ตราบใดที่ประเทศไทยยังมีรัฐบาลที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ..โดยมี“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นผู้ชักใยและควบคุมสั่งการ..อะไรๆ ก็ไว้วางใจไม่ได้..ซึ่งทุกวันนี้ถ้ากองทัพไทยไม่เข้มแข็ง..และถูกฝ่ายการเมือง“ล้วงลูก”ได้..เหมือนเมื่อครั้งรัฐบาลพรรคไทยรักไทยในอดีตที่มี“ทักษิณ”เป็นนายกรัฐมนตรี..โดยคุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ..ทั้ง“ทหาร-ตำรวจ-พลเรือน”นั้น..ป่านนี้ไม่แน่ว่าไทยก็อาจจะเสร็จ“ตระกูลฮุนแห่งเขมร”เพื่อนรักของ“ทักษิณ”ไปแล้ว..และสองตระกูลไทยกับเขมร..ก็อาจจะแบ่งปันผลประโยชน์กันได้ลงตัวแบบ..“ชินครึ่งหนึ่ง-ฮุนครึ่งหนึ่ง”

ทั้งนี้..จากผลสำรวจของ“นิด้าโพล”..โดยศูนย์สำรวจความคิดเห็น..สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)..เกี่ยวกับ “สถานการณ์ไทย-กัมพูชา”..ในหัวข้อ“ไปต่อแบบไหนดี”..ซึ่งมีการแถลงเมื่อวันที่ 10 สิงหาคมวานนี้..ระบุว่า.. ประชาชนคนไทยไว้วางใจกองทัพมากกว่ารัฐบาล

ผลสำรวจดังกล่าวของ“นิด้าโพล”..ที่ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 4-5 สิงหาคม 2568..จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป..กระจายทุกภูมิภาค..ระดับการศึกษา..อาชีพ..และรายได้..ทั่วประเทศ..รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง..พบว่า..มีความไว้วางใจกองทัพถึงร้อยละ 75.73..โดยร้อยละ 19.31 ระบุว่า-ค่อนข้างไว้วางใจ, ร้อยละ 3.66 ระบุว่า-ไม่ค่อยไว้วางใจ, ร้อยละ 1.07 ระบุว่า-ไม่ไว้วางใจเลย..และร้อยละ 0.23 ระบุว่า-ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ส่วนความไว้วางใจของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลนั้น..พบว่า..ร้อยละ 54.58 ระบุว่า-ไม่ไว้วางใจเลย, รองลงมา ร้อยละ 29.01 ระบุว่า-ไม่ค่อยไว้วางใจ, ร้อยละ 11.45 ระบุว่า-ค่อนข้างไว้วางใจ, ร้อยละ 4.66 ระบุว่า-ไว้วางใจมาก..และร้อยละ 0.30 ระบุว่า-ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

สรุปก็คือ..กองทัพไทยได้รับความไว้วางใจ..แบบไว้วางใจมากถึงร้อยละ 75.73..ขณะที่รัฐบาลมีคนไทยไว้วางใจแบบสนิทใจ..คือไว้วางใจมากเพียงแค่ร้อยละ 4.66..ซึ่งพร้อมกันนี้ก็ยังปรากฏตัวเลขอย่างมีนัยสำคัญ..โดยที่ผลสำรวจระบุว่า..ประชาชนไม่ไว้วางใจกองทัพชนิดที่ไม่ไว้วางใจเลย..มีเพียงแค่ร้อยละ 1.07..ขณะที่ไม่ไว้วางใจรัฐบาลเลย..มีตัวเลขสูงถึงร้อยละ 54.58

และนอกจากนั้น..ความเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการสนับสนุนรัฐบาลชุดนี้..ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ..ในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง“ไทย-กัมพูชา”..ปรากฏว่ามีเพียงแค่ร้อยละ 2.21 เท่านั้น..ที่สนับสนุนอย่างเต็มที่

เห็นตัวเลขของ“นิด้าโพล”จากผลสำรวจ..แสดงชี้ชัดว่า..ประชาชนคนไทยไม่เอารัฐบาลชุดนี้แล้ว..อย่าด้านอยู่ต่อเลย..จงรีบไปเสียโดยเร็วจะดีกว่า

“อุ๊งอิ๊งค์”ออกไป-“ทักษิณ”ติดคุก !

รุ่งเรือง ปรีชากุล