“อ้วน-ภูมิธรรม เวชยชัย” หรือ“สหายใหญ่” วัยย่าง 72 ปี อดีตนักศึกษาจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่หนีเข้าป่าหลังเหตุการณ์ “6 ตุลาฯ 19” และได้รับการบ่มเพาะศึกษา“ทฤษฎีวัตถุนิยมวิภาษ” ของ “คาล มาร์กซ์” และแนวทางนโยบายพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) มาอย่างครบเครื่องนั้น ยิ่งนับวันก็ยิ่งเห็นว่า“ปัญญากลวง”
เรียกว่าเป็นคนที่ทำงานไม่เป็น นอกจากสนองงานให้แก่“นายใหญ่”ที่ชื่อ“ทักษิณ ชินวัตร” และคอยเป็นพี่เลี้ยงปกป้อง“คุณหนูนายน้อย-อุ๊งอิ๊งค์”เท่านั้นที่เหมือนว่าดูเก่งกาจ ซึ่งผิดรูปไปจากสหายเก่าหรือคอมมิวนิสต์เก่า ที่ผ่านการต่อสู้มากับ พคท. โดยส่วนใหญ่ล้วนมีโลกทัศน์และชีวทัศน์ชัดเจน สามารถมองและวิเคราะห์แยกแยะเหตุปัจจัย ทั้งทาง“ภววิสัย”และ“อัตวิสัย”ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
“ภูมิธรรม เวชยชัย” ออกจากป่ากลับสู่เมืองก่อน พคท.แตก ก็มานั่งทำงานเป็นรองผู้อำนวยการโครงการอาสาสมัคร สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้มีสายสัมพันธุ์กับองค์กรพัฒนาเอกชน หรือ “NGO”องค์กรต่างๆ ที่ดำเนินกิจกรรมด้วยเงินสนับสนุนจาก“ต่างชาติ” ทั้งจากสหรัฐอเมริกาและประเทศในยุโรป เป็นการสนับสนุนของต่างชาติ ที่แฝงการแทรกแซงและยุยงปลุกปั่นปลูกฝังให้เกิดความขัดแย้งทางความคิดในบ้านเราอย่างมีนัยสำคัญ
จะเห็นได้ว่า ที่ผ่านมาบรรดาละอ่อนน้อยคนรุ่นใหม่ที่เป็น สส.ฝ่ายค้าน สังกัดพรรคก้าวไกล และพรรคประชาชนในเวลาต่อมา เคลื่อนไหวไปในทางที่ขัดหูขัดตาหรือขัดใจพรรคเพื่อไทย มักจะเห็น“สหายใหญ่-ภูมิธรรม เวชยชัย” ซึ่งถือว่าเป็น“เจ้าพ่อเอ็นจีโอ” ออกมาส่งเสียงปรามอยู่เป็นประจำ เพราะ สส.ส่วนใหญ่ของพรรคส้มเน่า ล้วนเป็น“NGO”เก่า
จากตำแหน่งรองผู้อำนวยการโครงการอาสาสมัคร สถาบันวิจัยสังคมจุฬาฯ ก็ผันตัวมาทำงานในกลุ่มบริษัทเครือชินวัตร ของ“นายใหญ่-ทักษิณ ชินวัตร” และ“นายหญิง-คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์”แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า ในตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการประจำสำนักประธานบริหารกลุ่มบริษัทในเครือชินวัตร ระหว่างปี 2540-2541 ก่อนจะร่วมกับ“นายใหญ่ทักษิณ”จัดตั้งพรรคไทยรักไทยในเวลาต่อมา
หลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2544 เมื่อพรรคไทยรักไทยประสบความสำเร็จสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ โดยมี“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรี “อ้วน-ภูมิธรรม”ผู้นี้ ในฐานะรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาคณะทำงานสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (กทบ.) และเป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ชื่อ“ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์” โดยได้ก้าวขึ้นเป็นรัฐมนตรีครั้งแรกในปี 2548 ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
อย่างไรก็ตาม ต่อมาในปี 2550 หลังจากรัฐบาลพรรคไทยรักไทยถูกยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 พรรคไทยรักไทยถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค “อ้วน-ภูมิธรรม เวชยชัย” เป็น 1 ใน 111 กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย หรือที่เรียกขานกันว่า“บ้านเลขที่ 111” ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี และจากนั้นก็ได้หวนคืนกลับเข้าสู่แวดวงทางการเมืองอีกครั้งเมื่อปี 2555 ในตำแหน่งเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ก่อนจะได้รับเลือกตั้งเป็น สส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไท ในปี 2557
ปี 2566 ได้รับเลือกตั้งเป็น สส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และได้รับแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรี ควบเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมทั้งเป็น“สายตรง”ของศูนย์กลางอำนาจเถื่อน“แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า” ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงฝึกงานให้กับ“เศรษฐา ทวีสิน”บนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี และกระทั่งมาเป็นรักษาการนายกรัฐมนตรีแทน“คุณหนูนายน้อย-อุ๊งอิ๊งค์”ในวันนี้
ผลงานเมื่อครั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สมัยรัฐบาล“เศรษฐา ทวีสิน”ที่โดดเด่นเข้าตา“นายใหญ่ทักษิณ” ก็คือ “กินข้าวเน่า”จากโครงการทุจริตโครงการับจำนำข้าว เพื่อ“ฟอกขาว”ให้แก่“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่เวลานี้หลบหนีโทษ 5 ปีอยู่ในอังกฤษ และพอมานั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในสมัยรัฐบาล“คุณหนูนายน้อย-อุ๊งอิ๊งค์” ผลงานก็ไม่มีให้เห็นเป็นที่ประจักษ์อีกเช่นเคย เนื่องจากเวลาส่วนใหญ่ถูกใช้ไปเพื่อคอยรับใช้พิทักษ์ปกป้อง“คุณหนูอุ๊งอิ๊งค์” นายกรัฐมนตรีผู้ไร้สติปัญญาและขาดภาวะผู้นำ
เมื่อมานั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแทน“สุทิน ชาญวีรกูล” หลังจากพรรคภูมิใจไทยถอนตัวออกจากรัฐบาล เพราะ“ทักษิณ ชินวัตร”ทวงเก้าอี้คืน ก็ชัดเจนอีกว่า “อ้วน-ภูมิธรรม เวชยชัย”ทำงานเพื่อสนอง“นายใหญ่” ด้วยการล้างบางและชำระแค้นพรรคภูมิใจไทย ซึ่งนอกจากจะย้ายอธิบดีกรมใหญ่ถึง 4 คน รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดที่สำคัญๆ อีกหลายจังหวัดแล้ว ก็ยังตามล้างตามเช็ดคดี“มหากาพย์ที่ดินเสากระโดง” อันเกี่ยวพันไปถึง“เนวิน ชิดชอบ”บ้านใหญ่แห่งบุรีรัมย์ ของพรรคภูมิใจไทย
ล่าสุดก็ยัง“เล่นปาหี่”ตบตาคนไทย เรื่องการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทั้งทางแพ่งและทางอาญาจากกัมพูชา โดยไม่ได้ฟ้องศาลโลก และศาลอาญาระหว่างประเทศ แต่เป็นเพียงแค่สั่งการให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ, กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณาศึกษาว่า จะสามารถใช้ช่องทางใดในการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจาก“ฮุน เซน-ฮุน มาเนต”สองพ่อลูกตระกูลฮุนได้
เพราะถ้าแน่จริง ไม่ใช่แค่เล่นปาหี่ “อ้วน-ภูมิธรรม เวชยชัย”ต้องฟ้องสองพ่อลูกเขมรคู่นี้ ต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ ในข้อหา“อาชญากรสงคราม”ที่ก่อสงครามรุกรานไทย จากการโจมตีเป้าหมายพลเรือน ทั้งโรงพยาบาล และบ้านเรือนประชาชนคนไทย ตลอดจนร้านสะดวกซื้อ และสถานีบริการน้ำมัน ซึ่งทำให้ประชาชนคนไทยที่รวมทั้งเด็ก และทหารไทยต้องบาดเจ็บเสียชีวิตนับร้อย อีกทั้งยังต้องอพยพหลบภัยสงครามไปอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงเกือบ 2 แสนคน
โดยหลักฐานทั้งหมดนี้ กองทัพไทยได้รวบรวมไว้ในมือพร้อมแล้ว ดังที่ได้มีการเผยแพร่ และชี้แจงต่อคณะทูตต่างชาติ, ผู้ช่วยทูตทหาร 23 ประเทศ และสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างชาติ ซึ่งได้รับเชิญไปดูพื้นที่ที่จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา
เพราะจากการ“เล่นปาหี่”ดังกล่าวของ“ภูมิธรรรม เวชยชัย” จึงทำให้คนไทยไม่ไว้วางใจรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่มี“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นผู้ชักใย และยังอดคิดไม่ได้ว่า “ทักษิณ”กำลังเล่นอะไรแบบ“ลับลวงพราง”กับสองพ่อลูกทรราชแห่งเขมรหรือไม่ ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี