วันศุกร์ ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2568
ผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต่างลงความเห็นตรงกันว่า วิกฤตการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ จะนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่หนักหน่วงรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งของโลก
ธนาคารโลก หรือ เวิลด์แบงก์ ประเมินว่าผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะทำให้เศรษฐกิจโลกพังเสียหายเป็นวงกว้างที่สุดในรอบ 150 ปี นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1870 ซึ่งเป็นปีแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 ที่พลังงานไฟฟ้าและการผลิตแบบ mass production ทำให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวไปขนานใหญ่
ธนาคารโลก ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้จะติดลบประมาณร้อยละ 5.2 และอาจทำให้ประชากรโลก 70-100 ล้านคน เข้าสู่ภาวะยากจนสุดขีด ซึ่งมากกว่าตัวเลข 60 ล้านคน ที่เคยประเมินไว้
ส่วนในปีพ.ศ.2564 เเม้จะประเมินว่าเศรษฐกิจโลกจะเริ่มกระเตื้องขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดระลอกที่ 2 ของไวรัสโควิด-19 ซึ่งจะเป็นการขัดขวางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และเปลี่ยนให้วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้กลายเป็นวิกฤตทางการเงิน เนื่องจากจะมีกระแสการผิดนัดชำระหนี้เกิดขึ้นตามมา
ในประเทศไทยเรา นักเศรษฐศาสตร์หลายท่านกล่าวว่า วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ จะรุนแรงกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งในปี พ.ศ. 2540 บางท่านยังเห็นว่าอาจรุนแรงเท่าหรือมากกว่าวิกฤติเศรษฐกิจถดถอยในปี พ.ศ. 2473ด้วยซ้ำ
เค้าลางของความรุนแรงจากวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ เห็นได้จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย สั่งให้ธนาคารพาณิชย์งดจ่าย "เงินปันผลระหว่างกาล" และ "งดซื้อหุ้นคืน" เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูงมาก จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจไทย และยังไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่ และจะจบอย่างไร
ก่อนธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีคำสั่งถึงธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวข้างต้นนี้ นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งจะครบวาระแรกของการดำรงตำแหน่งในวันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2563 ก็แสดงความประสงค์จะไม่เข้าสู่กระบวนการพิจารณาคัดเลือกสำหรับการดำรงตำแหน่งในวาระที่ 2 ด้วยเหตุผลด้านครอบครัว
หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า นายวิรไทคงประเมินสถานการณ์ความยากลำบากล่วงหน้าไว้แล้ว และคงไม่ต้องการเผชิญชะตากรรมเหมือนอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในยุควิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อปี พ.ศ. 2540
ถ้าไม่นับการแย่งเก้าอี้รัฐมนตรีทางเศรษฐกิจการเงินของกลุ่มก๊วนการเมืองในพรรคพลังประชารัฐ อันเป็นพรรคแกนนำในรัฐบาลปรากฏการณ์จากฟากฝั่งธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มีหน้าที่เสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจการเงินของประเทศให้มีเสถียรภาพ และมีการพัฒนาที่สนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างยั่งยืนและทั่วถึงนี้ เกิดขึ้นพร้อมกัน และเป็นไปในทางเดียวกันกับปราฏการณ์จากฟากฝั่งคณะรัฐมนตรีทางเศรษฐกิจการเงิน ที่มีหน้าที่บริหารระบบเศรษฐกิจการเงินของประเทศ
ในขณะที่นายวิรไทย ไม่ประสงค์จะดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยต่อ รัฐบาลก็ยังไม่สามารถฟอร์มทีมเศรษฐกิจใหม่ได้แม้จะมีกลุ่มที่กระเหี้ยนกระหือรือขับไล่ทีมเศรษฐกิจของ ดร. สมคิด ออกไป และแม้จะมีการโยนหินถามทางไปหลายครั้ง เพราะไม่มีใครกล้าเข้ามารับตำแหน่ง ไม่มีใครอยากตกเป็นเป้าโจมตี และไม่มีใครอยากเข้ามาแก้โจทย์ยากๆ ในภาวะเศรษฐกิจขาลงอย่างหนักเช่นทุกวันนี้
เรื่องหาคนดีมีฝีมือมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ เรื่องหนึ่ง
เรื่องวิสัยทัศน์และจุดยืนในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่น่าเป็นห่วงไม่แพ้กัน
ที่ผ่านมา เราไม่เคยหลุดออกจากกรอบการแก้ไขปัญหาแบบทุนนิยม เกิดวิกฤตจากระบอบทุนนิยม เราก็ยังวิ่งพล่านแก้ไขปัญหาอยู่ในระบอบของมัน
เราวัดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ที่มาจากความเจริญเติบโตของนายทุนไม่กี่ตระกูลไม่ใช่จากชีวิตจริงของประชาชน
ด้วยเหตุนี้ เราจึงหวั่นวิตกเป็นอย่างยิ่งเรื่องตัวเลขการส่งออกและการท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่หายไป ถึงขั้นอยากจะเปิดประเทศ เสนอให้รีบมีTravel Bubble โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากต่างชาติเข้ามา 10 ล้านคน สร้างรายได้ 1.23 ล้านล้านบาท
โดยมิคิดว่า เวลานี้ เราสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายในประเทศของเราได้แล้ว แต่ต่างประเทศที่จะไปทำ Travel Bubbleไม่ว่าจะเป็นจีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ หรือ ฮ่องกง ยังควบคุมการแพร่ระบาดไม่ได้
และโดยมิคิดว่า แม้จะมีมาตรการควบคุมดูแลไม่ให้นักทองเที่ยวเหล่านั้นเข้ามาแพร่เชื้อ แต่ในทางปฏิบัติจริง มั่นใจหรือว่าจะควบคุมได้ ?
ในประเทศเรา ระเบียบก็อย่างหนึ่ง การปฏิบัติก็อีกอย่างหนึ่ง มีให้เห็นทั่วไป โดยเฉพาะอะไรที่ใช้เงินซื้อได้
ทางรอดของเราในเวลานี้ คือ แก้ไขปัญหาในแบบของเรา อย่าไปพึ่งพิงระบอบทุนนิยมให้มากเกินไป
เราพร่ำพูดคำว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” ของในหลวงรัชกาลที่ 9 แต่เวลาเราบริหารหรือแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ เราไม่เคยเอาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ เอาแต่วิ่งพล่านอยู่ในกับดักของระบอบทุนนิยม ปากพูดถึงประชาชน แต่ทำเพื่อผลประโยชน์ของนายทุน
ในภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นี้ ทางรอดของไทย คือ ปิดประเทศ แต่เปิดเมือง ส่งเสริมผลักดันการประกอบอาชีพ ประกอบธุรกิจของคนไทยในประเทศให้ทั่วถึงและคึกคัก ให้เศรษฐกิจหมุนเวียนอีกครั้ง ให้ประชาชนชั้นกลาง ชั้นล่าง สามารถพึ่งตนเองได้จากภาคเกษตรอุตสาหกรรม การค้า และการท่องเที่ยวภายในกันเอง ไม่ต้องไปห่วงนายทุนใหญ่ ไม่ต้องไปห่วงการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ
คน 15 ล้านคนที่รับเงินเยียวยาเดือนละ 5 พันบาท ต้องกลับมาทำงานของเขาให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นงานเดิม หรืองานใหม่ รวมทั้งงานอิสระ และงานในชนบทซึ่งประเทศเรามีเงื่อนไขที่ดีกว่าชาติอื่นๆ มากมาย หากรัฐบาลส่งเสริมให้ถึงมือประชาชนอย่างจริงจัง
ประชาชนไม่ต้องการอะไรมาก ขอให้เขามีงานทำ มีเงินใช้ตามสมควร ไม่มีใครไปเอารัดเอาเปรียบ ข่มเหงรังแกเขา เขาก็อยู่ของเขาได้
แค่นี้แหละ ทำได้ไหม ?
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส

ปชป. ร่อนแถลงการณ์ ซัด พรรคส้ม ออกลูกงอแงหวังประโยชน์แก้ รธน. ยอมเอา ‘อธิปไตยชาติ’ มาเสี่ยง
ยุบสภา อนุทิน ยันแล้ว คืนอำนาจให้ประชาชน
คอนเฟิร์ม! นายกฯอนุทิน ยื่นยุบสภาแล้ว เผยต่อรอง ปชน. ชี้ สั่ง สว.ไม่ได้ ไม่โหวตตัดอำนาจ
สะพัด อนุทิน ยื่นยุบสภาคาไว้แล้ว ตั้งแต่เย็นวันนี้ ตัดหน้า ‘ปชน.’ ล่าชื่อซักฟอกรัฐบาล
สื่อนอกตีข่าว เหตุปะทะเดือดชายแดนไทย-กัมพูชา พลเรือน2ประเทศอพยพแล้วครึ่งล้านคน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี