หลายท่านคงมีเพื่อนเป็นตำรวจ เพื่อนที่เป็นตำรวจของท่าน คงมีทั้งที่เป็นตำรวจดีและตำรวจที่ไม่ค่อยดี
บางท่านอาจแย้งว่าไม่จริง แย้งว่าตำรวจดีมีเพียงนายเดียวที่ยืนตากแดดตากฝนอุ้มเด็กอยู่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาแล้ว 70 ปี
นี่คือตลกร้ายที่บั่นทอนจิตใจของตำรวจดีอีกหลายนายที่ยังตั้งใจทำงานในหน้าที่อย่างมีอุดมการณ์ ตำรวจดีบางนายก็ต้องทนทำงานภายใต้ความกดดันหลายด้าน บางนายทนไม่ไหวจริง ๆ ลาออกจากราชการไปเลยก็มี
เพื่อนคนหนึ่งของผม คือนายตำรวจที่ว่านี้
ย้อนหลังไปราว 30 กว่าปี ในงานเลี้ยงรุ่นของนักศึกษาเก่าคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ผมพบเพื่อนคนหนึ่งซึ่งทราบดีว่าเขาเป็นสารวัตรที่มีอนาคต นิสัยดี ฐานะการเงินดี มาจากตระกูลที่มีชื่อเสียงในด้านดี เพื่อนคนนี้สุภาพเรียบร้อยและถ่อมตนตั้งแต่เป็นนักศึกษากระทั่งเติบโตในหน้าที่ราชการ
ในวันนั้น เขาอุ้มลูกน้อยคนหนึ่งของเขาเข้ามาในงาน แต่งตัวธรรมดา ๆ เหมือนอยู่กับบ้าน ผมตรงเข้าไปถามสารทุกข์สุขดิบในฐานที่ไม่ได้พบเจอกันนาน ถามถึงหน้าที่การงานของเขาที่เพิ่งได้รับการโอนย้ายไปอยู่สถานีตำรวจนครบาลแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพมหานคร คำตอบที่ได้คือ
“เราลาออกมาแล้ว”
“ทำไม มีอะไรเหรอ ?”
“เราทนไม่ไหวว่ะ มันฝืนความรู้สึกเกินไป”
เขากลับมาใช้ชีวิตเรียบ ๆ กับครอบครัว เขามีความสุข และไม่เดือดร้อนเนื่องจากมาจากตระกูลที่มีฐานะดีอยู่แล้ว ความดีในตัวทำให้เขาตัดสินใจหันหลังให้กับตำแหน่งหน้าที่การงานในสถานีตำรวจที่นายตำรวจหลายนายใฝ่ฝันจะได้มาอยู่ เพราะเป็นสถานีตำรวจที่รับผิดชอบท้องที่ที่มีสถานบริการอาบอบนวด ผับ บาร์ คาราโอเกะ และแหล่งท่องเที่ยวของนักเที่ยวกลางคืนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเต็มไปหมด
เขียนถึงตอนนี้แล้ว ผมคิดว่าโชคดีที่เขาไม่ได้เป็นตำรวจทางหลวง ไม่เช่นนั้นเขาคงต้องลาออกจากราชการตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นผู้กอง !
ทำไมหรือ ?
เรื่องของเรื่องก็คือ การทำงานของตำรวจทางหลวง ที่ผมเพิ่งประสบมาเมื่อไม่นานมานี้ แต่ก่อนอื่นเราลองมาดูหน้าที่สำคัญ ๆ ของตำรวจทางหลวงกันก่อน
หน้าที่ของตำรวจทางหลวง ที่สำคัญก็คือ
1. การรักษาความปลอดภัยสำหรับองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ พระบรมวงศานุวงศ์ ผู้แทนพระองค์ พระราชอาคันตุกะและบุคคลสำคัญ
2. ตรวจตราความสงบเรียบร้อย ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม
3. สืบสวนสอบสวนและปฏิบัติงานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและกฏหมายอื่นอันเกี่ยวกับความผิดทางอาญาและจราจร
4. ตรวจตราดูแลทรัพย์สินของทางราชการ และควบคุมดูแลการใช้ทางหลวงและทางพิเศษให้เป็นไปตามกฏหมาย
5. ควบคุม กำกับ ดูแล จัดการจราจรและควบคุมมลภาวะให้เป็นไปตามกฏหมาย
6. บริการประชาชนผู้ใช้ทางให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยในเขตทางหลวงที่อยู่ในอำนาจรับผิดชอบ
7. ให้ความรู้เกี่ยวกับกฏหมายจราจรแก่ประชาชนโดยทั่วไป และงานอำนวยการของหน่วย
8. ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมาย
ในบรรดาหน้าที่สำคัญทั้ง 8 ประการข้างต้น สิ่งที่ประชานชนทั่วไปจับต้องได้กับการทำงานของตำรวจทางหลวง กลับกลายเป็นการตรวจจับความเร็วรถและส่งใบสั่งให้ประชาชนไปเสียค่าปรับ ซึ่งเป็นติ่งหน้าที่เล็ก ๆ หน้าที่หนึ่งที่แฝงไว้ในหน้าที่ข้อที่ 4 ข้างต้น
เป็นหน้าที่การงานที่ประชาชนทั่วไปมองเห็นและไม่ศรัทธา แต่ดูเหมือนตำรวจทางหลวงจะชอบทำ และเอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติหน้าที่นี้มาก ลงทุนติดกล้องตรวจจับความเร็วเท่าที่จะหางบประมาณมาติดตั้งได้ เพื่อให้กล้องทำงานแทนตนแล้วออกใบสั่งตามไปเรียกเก็บค่าปรับ แต่เมื่อประชาชนไปเสียค่าปรับบ้างไม่ไปเสียค่าปรับบ้าง ก็เลยลงทุนขับรถเอากล้องเคลื่อนที่เพื่อจับความเร็วรถไปส่องจับข้างทาง แล้วส่งภาพเข้าไปยังมือถือของตำรวจอีกกลุ่มหนึ่งที่ตั้งด่านอยู่ข้างหน้าเพื่อโบกให้รถหยุดแล้วเรียกเก็บค่าปรับกันข้างทางนั้นเลย
ผมเจอเหตุการณ์นี้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะขับรถกลับกรุงเทพฯ มาตามทางหลวงสายหนึ่งทางภาคเหนือ ผมถูกโบกให้หยุดที่ด่านเพื่อให้ไปเสียค่าปรับซึ่งมีตำรวจอีกชุดหนึ่งตั้งโต๊ะรับเงินค่าปรับฐานขับรถเร็วเกินกำหนดไว้ 4-5 โต๊ะ วันนั้นผมถูกแจ้งข้อหาว่าขับรถ 121 ก.ม. ต่อชั่วโมง ผมบอกว่าผมขับเกินไป 1 ก.ม. จะให้ผมควบคุมรถให้พอดี 120 ตลอดเวลาได้หรือ ตำรวจบอกว่า ที่นี่ไม่ใช่ 120 ครับ !
ข้าง ๆ รถผม มีรถอีกหลายสิบคันที่ถูกจับ จอดเรียงกันข้างถนนเต็มไปหมด ในเต้นท์ข้างถนนมีคนไม่ต่ำกว่า 20 คน นั่งรอเสียค่าปรับคนละ 500 บาท เป็นนักเดินทางแบบผมบ้าง เป็นคนท้องถิ่นที่นั่นบ้าง บางคนไม่มีเงิน ต้องโทรศัพท์กลับไปหาญาติให้ช่วยนำเงินมาให้ หลายคนสบถเบา ๆ มีชายสูงอายุคนหนึ่งแสดงความไม่พอใจอย่างมาก แกเอะอะโวยวายเป็นสำเนียงภาษาเหนือว่าทำให้เสียเวลาทำมาหากิน อยู่กรุงเทพฯ ขับเร็วกว่านี้ยังไม่เคยโดนจับ พร้อมทั้งว่ากล่าวการทำงานของตำรวจอยู่นาน
ผมนั่งรออยู่ราว 15 นาที จึงถึงคิวที่ถูกเรียกไปเสียค่าปรับเนื่องจากคนเยอะมากที่ถูกจับ และเมื่อเสียค่าปรับแล้วก็ยังต้องรอกระบวนการออกใบเสร็จและคืนใบขับขี่อีก
ผมถามตำรวจขณะจ่ายเงินค่าปรับว่า กระทรวงคมนาคมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็มีนโยบายจะแก้กฎหมายให้เพิ่มพิกัดความเร็วเป็น 120 ก.ม. ต่อชั่วโมงอยู่แล้ว ทั้งเปิดให้ทดลองวิ่ง 120 ก.ม. ในหลายเส้นทางทั่วประเทศ ทำไมที่นี่แทนที่จะตระเตรียมความพร้อมรองรับนโยบายส่วนกลาง กลับยังมานั่งส่องกล้องตรวจจับความเร็ว 90 ก.ม. กันอยู่อีก และผมขับแค่ 121 ก.ม. เพราะเห็นว่าทางหลวงหลายเส้นทางก็ให้ขับ 120 ตำรวจตอบว่า เขาเข้าใจ เขาเป็นผู้น้อยเป็นเหมือนหนังหน้าไฟ และยังว่า น่าจะกำหนดความเร็วให้เท่ากันไปเลยจะได้ไม่สับสนว่าตรงไหน 90 ตรงไหน 120 ผมเห็นตำรวจคนนี้ลึก ๆ แล้วก็อึดอัดใจในการทำหน้าที่วันนี้ของเขาเหมือนกัน เลยบอกว่า คุณดูสิ คนที่พวกคุณเอากล้องไปซุ่มจับความเร็วเขา เป็นคนทำมาหากินสุจริตกันทั้งนั้น ถนนก็กว้าง อุบัติเหตุเพราะการที่เขาขับรถเร็วเกินกำหนดที่คุณตั้งไว้ก็ไม่มี คุณเอาเวลาไปจับรถที่ขับแบบแซงซ้ายป่ายขวาไม่เคารพช่องทางการจราจรซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญให้เกิดอุบัติเหตุ เอาเวลาไปจับรถใหญ่รถพ่วงที่วิ่งกลางถนน วิ่งแข่งกับรถเก๋ง และบีบแตรเสียงประหลาด ๆ อย่างผิดกฎหมาย เอาเวลาไปจับรถควันดำที่ปล่อยควันเต็มถนนจนรถที่ตามมามองไม่เห็น หรือรถที่ไม่มีไฟท้ายแล้วออกมาวิ่งตอนกลางคืนให้เกิดอุบัติเหตุไม่ดีกว่าหรือ ?
ตำรวจนายนั้น ซึ่งน่าจะเป็นชั้นประทวนเพราะไม่มีดาวบนบ่า ยังไม่ทันพูดอะไรกับผม ก็พอดีทอนเงินให้ผมเสร็จและชายสูงอายุคนที่ผมกล่าวถึงเมื่อสักครู่ก็เดินมาเอ็ดตะโรที่ข้างโต๊ะนี้พอดี การสนทนาของเราจึงยุติลง
ก็แค่เล่าสู่กันฟังเท่านั้นครับ ตำรวจทางหลวง “ห่วงใยทุกชีวิต เป็นมิตรทุกเส้นทาง”
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี