ตัวตลกที่รู้จักกันดีคือโจ๊กเกอร์ ถือเป็นตัวตลกดั้งเดิมในประวัติศาสตร์เลยด้วยซ้ำ เพราะถือกำเนิดในยุคกลาง โจ๊กเกอร์ยุคโบราณเป็นตัวตลกหลวงที่แสดงตลกในพระราชวัง อวดโฉมด้วยเครื่องแต่งตัวสีฉูดฉาดบาดตา ใส่หมวกหลายยอดตรงปลายมีตุ้มเล็กๆ ในมือถือคทาที่เรียกว่า “มาโรต์” บทบาทหลักคือทำตัวเปิ่นๆ ซุ่มซ่ามๆ ให้พระราชาขำ
ส่วนโบโซ่นั้นคือตัวตลกที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาลของอเมริกา อลัน ดับเบิลยู ลิฟวิงสโตนเปิดตัวตลกตัวนี้ในการ์ตูนมีภาพประกอบเรื่อง “โบโซกับคณะละครสัตว์” จากนั้นเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น มักปรากฎตัวด้วยชุดนอนสีฟ้าขลิบแดง ใส่แผงผ้าจีบที่คอ วิกผมสีแดงแจ๋ หน้าขาววอก จมูกแดงแจ๊ด คนทั้งโลกเลยพลอยรู้จักตัวตลกตัวนี้จนกระทั่งคำว่า “โบโซ่” กลายเป็นคำสแลงของอเมริกา โดยมีความหมายว่า “เซ่อซ่า” หรือ “เปิ่นๆ เชยๆ”
ทั้งที่ตัวตลกทั้งหลายมอบความสุขและเสียงหัวเราะให้เสมอมา แปลกแต่จริงที่คนอเมริกันจำนวนมากเป็นโรคกลัวตัวตลกถึงขั้นต้องบำบัดกันเลยทีเดียว โรคนี้มีชื่อทางการว่า “Coulrophobia” โรคนี้แตกต่างจากความไม่ชอบตัวตลก อาการกลัวตัวตลกที่ถือว่าเป็นโรคนั้นจะมีอาการหายใจไม่ออก กระสับกระส่าย เหงื่อออกหรือรู้สึกอึดอัดกังวลเมื่อเห็นตัวตลก
เรื่องนี้มีคำอธิบายในเชิงจิตวิทยาด้วย นักจิตวิทยาอย่าง John B. Watson และ Rosalie Rayner อธิบายว่าสมองของคนเราเชื่อมโยงสิ่งเร้าสองสิ่งเข้าด้วยกัน หากเกิดขึ้นซ้ำๆ ในเวลาเดียวกัน นั่นหมายถึง คนที่กลัวตัวตลก อาจเป็นเพราะมีประสบการณ์ฝังใจกับการเห็นตัวตลกและเรื่องน่ากลัวในเวลาเดียวกัน เลยทำให้เกิดอาการกลัวตัวตลกอย่างไม่มีสาเหตุ
Sigmund Freud นักจิตวิทยาชื่อดังกล่าวว่า การที่บางอย่างดูคุ้นเคย แต่ในเวลาเดียวกันก็ดูแปลกตา ทำนองเดียวกับภาวะ “คนแปลกหน้าที่คุ้นเคย” ทำให้เกิดความกลัวได้ ตัวตลกที่ยิ้มร่าอยู่ตลอดเวลานั้นถือว่าเข้าข่ายนี้ โดยทั่วไปแล้วคนส่วนมากคิดว่ารอยยิ้มคือสิ่งดี แต่ไม่มีใครยิ้มตลอดเวลา หากใครยิ้มอยู่ตลอดเวลาแปลว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดังนั้นตัวตลกซึ่งฉีกยิ้มตลอดเวลาจึงดูแล้วน่ากลัวมากกว่าน่าเข้าใกล้
ในอเมริกาจึงมักมีเรื่องเล่าสยองขวัญเกี่ยวกับตัวตลกทำนองว่า ระหว่างที่พ่อแม่ดูทีวีกลางดึก อยู่ๆ ลูกวิ่งมาฟ้องพ่อแม่ว่ามีรูปปั้นตัวตลกอยู่ในห้อง แล้วตัวตลกตัวนั้นจ้องหน้าจนนอนไม่หลับ พ่อแม่ก็งง เพราะไม่เคยมีรูปปั้นตัวตลกในห้องนอนลูกหรือที่ไหนในบ้าน เลยโทรเรียกตำรวจทันที ปรากฏว่าไม่พบรูปปั้นตัวตลก แต่พบว่ามีร่องรอยบุกรุกจากภายนอก สันนิษฐานว่าคนบ้าปลอมเป็นตัวตลกแอบเข้าบ้านเพื่อฆ่าเด็ก
เรื่องนี้กลับเกิดขึ้นจริงในปีพ.ศ.2533 ที่เมืองปาล์มบีช รัฐฟลอริด้า หญิงสาวคนหนึ่งชื่อชีเลีย คีน วัย 27 ปีถูกยิงตาย ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ฆาตกรสวมชุดตัวตลกใส่วิกผมสีส้มทอง คดีนี้ไม่สามารถไขปริศนาได้จนถึงปัจจุบัน
ไม่ใช่แต่คดีนี้เท่านั้น ตัวตลกถูกนำไปโยงกับการฆาตกรรมอีกในปี พ.ศ. 2513 จอห์น เวนย์ เกซี่เป็นนักธุรกิจในชิคาโกที่ชอบออกงานการกุศลและอุทิศตนช่วยเหลือสังคมอยู่เสมอ มักแต่งตัวเป็นตัวตลกเพื่อไปเยี่ยมเด็กตามโรงพยาบาล จนได้รับฉายาว่า "ตัวตลกโพโก้" แต่จอห์นคือฆาตกรฆ่าต่อเนื่องอย่างโหดเหี้ยมสะเทือนขวัญ จนกลายเป็นความสยองหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว
ในที่สุดถูกตำรวจชิคาโกจับได้ หลังจากที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆ่า โรเบิร์ต พิสต์ เมื่อตรวจค้นบ้านของจอห์น ตำรวจถึงกับผงะ พบศพจำนวน 29 ศพ ส่วนศพอื่นๆ นั้นจอห์นนำไปทิ้งลงในแม่น้ำใกล้บ้าน ศาลสั่งประหารชีวิตจอห์น เวนย์ เกซี แต่มีการขออุทธรณ์ ซึ่งกินเวลายาวนานถึง 14 ปี สุดท้ายจอห์น เกซี ถูกประหารโดยการฉีดยาพิษเข้าเส้นในปี พ.ศ.2537
ช่วงฮาโลวีนปี 2559 มีข่าวเตือนภัยทั่วอเมริกา ถึงขั้นห้ามแต่งชุดตัวตลกไปงานฮาโลวีนกันเลยทีเดียว สาเหตุที่ห้ามเพราะเกิดคดีน่ากลัวขึ้นในรัฐเซาธ์แคโรไลน่า เด็กหลายคนกลับบ้านมาบอกพ่อแม่ว่าเจอกลุ่มคนแต่งตัวเป็นตัวตลกใช้เงินล่อเด็กๆ ให้เดินตามเข้าไปในป่า เด็กบางคนเดินตามไปแต่หนีมาได้มาเล่าว่า ตัวตลกเหล่านี้มีบ้านอยู่ในป่าลึกข้างบ่อน้ำ ตอนนั้นตำรวจคิดว่าเด็กคงกุเรื่องหลอกเล่นสนุกๆ แต่เมื่อสืบสวนภายหลังพบว่านี่เป็นเรื่องจริง
ใครจะคิดว่าตัวตลกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเฮฮาจะกลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งความน่ากลัวไปได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี