ชาติไทยของเรานั้น ต้องถือว่าตั้งอยู่ในทำเลทางภูมิศาสตร์ที่ดีมากที่สุดแห่งหนึ่ง ในดินแดนที่ถูกเรียกว่าสุวรรณภูมิ ที่แปลแบบง่ายๆ ว่าแผ่นดินทอง ทำให้ในอดีตที่ผ่านมา ไทยตกเป็นเป้าหมายของนักล่าอาณานิคมทั้งหลาย แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์หลายพระองค์ ทำให้ชาติไทยอยู่รอดมาได้ โดยมีอิสรเสรี
การที่ชาติจะอยู่รอดได้นั้น นอกจากการมีอิสรเสรีแล้ว ประชาชนของชาติจะต้องอยู่ดีมีสุขด้วย ซึ่งหมายความว่าภาวะเศรษฐกิจของชาติจะต้องอยู่ในสภาพที่ดี ถึงแม้ว่าความเหลื่อมล้ำทางฐานะเป็นสิ่งที่มิอาจจะปฏิเสธได้ ไม่ว่าจะในรูปแบบการปกครองแบบใด รัฐบาลก็ต้องทำให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าสัมผัสกับความสุขตามสภาพฐานะของตัวเองได้ ซึ่งหมายความว่านอกจากเศรษฐกิจที่ดีพอเพียงแล้ว ระบบบริการสาธารณสุขและระบบสาธารณูปโภคทั้งหลายต้องเอื้ออำนวยต่อการดำรงชีพของประชาชน
ย้อนไปดูประวัติศาสตร์ของชาติตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัย ก็จะพบว่าชาติไทยของเราไม่เคยมีปัญหาเศรษฐกิจเกิดขึ้นในยุคนั้นเลย มีการค้าขายกับ ประเทศเพื่อนบ้าน
ใกล้เคียง เช่น พ่อขุนรามคำแหงมหาราชได้ทำการค้าขายกับจีนตามที่มีหลักฐานปรากฏอยู่
ข้อความในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ที่กล่าวไว้ว่า “ใครใคร่ค้าช้างค้า ใคร่ค้าม้าค้า” หรือที่กล่าวว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” เป็นเครื่องยืนยันถึงการอยู่ดีมีสุข และอิสรเสรีของราษฎรอย่างแท้จริง
เมื่อมาถึงสมัยอาณาจักรอยุธยา ชาติไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นจุดศูนย์รวมของการค้าขายที่สำคัญแห่งหนึ่งของภูมิภาคนี้ โดยการค้าขายนั้นเกิดขึ้นทั้งกับประเทศในแถบเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น อินเดีย หรือประเทศทางแถบยุโรปไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ฝรั่งเศส ฮอลันดา โปรตุเกส
ยุคที่การค้าขายรุ่งเรืองที่สุด น่าจะอยู่ในสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งนอกจากจะเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถในด้านการรบและการปกครองแล้ว ยังมีความสามารถอย่างยิ่งในเรื่องของการค้าขายกับต่างชาติ
รายได้ของชาติที่เกิดจากการค้าขายนั้น จะได้จากส่วยซึ่งได้แก่ค่าตอบแทนการปกครองหรือคุ้มครอง คล้ายเครื่องราชบรรณาการ อากร ซึ่งได้แก่เงินที่เก็บจากผลประโยชน์ที่ราษฎรทำมาหากินได้ เช่น ทำไร่ทำนา การต้มกลั่นสุรา การประมง จังกอบ ซึ่งได้แก่ ภาษีที่เรียกเก็บจากการค้าขายสินค้าที่นำเข้ามาจำหน่าย และ ค่าฤชาธรรมเนียมได้แก่ ค่าธรรมเนียมต่างๆที่ราชการเก็บจากราษฎรซึ่งได้รับประโยชน์จากรัฐเป็นการเฉพาะตัว เช่น ค่าโฉนด ตราสาร ซึ่งทำให้ชาติมีความร่ำรวยและรุ่งเรือง อันจะเห็นได้จากหลักฐานที่ยังคงเหลืออยู่ของอาณาจักรอยุธยา ซึ่งแม้จะถูกเผาทำลายจนเกือบหมดสิ้นเมื่อไทยเสียอิสรภาพครั้งที่ ๒ ในปี พ.ศ.๒๓๑๐
ร่องรอยของโบราณสถานและปราสาทราชวัง ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ในอดีต ตลอดจนที่อยู่อาศัยของราษฎร แม้แต่ชาวต่างชาติที่มาอาศัยอยู่ ก็ได้โปรดให้มีการจัดตั้งเป็นหมู่บ้าน เช่น หมู่บ้านโปรตุเกส หมู่บ้านญี่ปุ่น เหล่านี้คือหลักฐานของความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งแน่นอนว่าต้องมาจากการที่ชาติมีเศรษฐกิจที่ดี
เศรษฐกิจของชาติตกต่ำที่สุดในยุคเปลี่ยนผ่านจากอาณาจักรอยุธยามาสู่อาณาจักรรัตนโกสินทร์หลังจากการเสียอิสรภาพครั้งที่ ๒ เป็นที่ทราบกันดีว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชต้องต่อสู้เป็นอย่างมาก นอกจากการชำระศึกภายในและศึกจากการรุกรานของพม่า พระองค์ยังต้องต่อสู้เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของชาติที่ล่มสลายไปแล้วให้กลับคืนมาให้ได้ ซึ่งพระองค์ก็สามารถทำได้ในระดับหนึ่ง ทำให้ชาติเราเริ่มฟื้นขึ้นมาได้ในยุคต้นของอาณาจักรรัตนโกสินทร์
พระมหากษัตริย์ไทยแห่งราชวงศ์จักรีพระองค์หนึ่ง ที่มีความสามารถด้านการค้าขายเป็นที่ประจักษ์คือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ซึ่งพระองค์สามารถสร้างรายได้ให้กับชาติ รวมทั้งยังสามารถสะสมเงินจำนวนไม่น้อยไว้ในพระคลังส่วนพระองค์ที่เรียกว่าเงินถุงแดง ซึ่งเงินถุงแดงนี่เองได้ถูกนำมาใช้ในการแลกกับอิสรภาพที่ไทยเกือบจะต้องเสียไปจากการรุกรานของฝรั่งเศสในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ จึงทำให้ชาติไทยอยู่รอดมาได้อย่างมีอิสรเสรีจนถึงปัจจุบันนี้
สำหรับประชาชนคนทั่วไปจะรู้ว่าเศรษฐกิจดีหรือไม่นั้นอาจจะพิจารณาได้จากข้อมูลเพียงไม่กี่อย่าง ได้แก่ การเติบโตทางเศรษฐกิจมวลรวมของชาติที่เรียกว่า GDP ยอดหนี้สาธารณะ ยอดหนี้สินครัวเรือน และดัชนีตลาดหลักทรัพย์
ซึ่งตัวเลขจาก ๔ เรื่องดังกล่าวบอกได้เลยว่าฐานะทางเศรษฐกิจของชาติขณะนี้ตกต่ำอย่างมาก ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือ GDP ที่รัฐบาลชุดปัจจุบัน เคยโอ้อวดว่าจะทำให้สูงขึ้นถึงระดับมากกว่า ๔% โดยส่วนหนึ่งจะมาจากการแจกเงินประมาณ ๔๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ให้กับประชาชนประมาณ ๔๕ ล้านคน ซึ่งไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลยต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยล่าสุดกระทรวงการคลังได้ประมาณการ GDP ว่าน่าจะอยู่ที่ประมาณ ๒.๑% เท่านั้น เกือบต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับทุกประเทศในภูมิภาคนี้ โดยมีประเทศเมียนมาเท่านั้นที่ต่ำกว่าไทย
ยอดหนี้สาธารณะขณะนี้อยู่ที่ประมาณ ๖๕% ของ GDP ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก เกินระดับที่สากลยอมรับได้แล้ว ในขณะที่หนี้สินครัวเรือนพุ่งขึ้นไปแตะระดับ ๙๐% ของ GDP ซึ่งก็ถือว่าเข้าสู่จุดอันตรายแล้ว
เมื่อหันมาดูดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) ตั้งแต่ประเทศไทยได้เปิดตลาดตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๑๘ โดยในระยะแรกๆ ค่าดัชนีจะอยู่ที่ระดับหลักร้อยแต่ก็ไต่ขึ้นมาจนถึงจุดสูงสุดที่ระดับ ๑,๗๘๙.๑๖ ในปี ๒๕๓๗ จนถึงช่วงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งได้ตกลงมาสู่ระดับต่ำสุดที่ ๓๐๔.๕๙ ในเดือนกันยายน ๒๕๔๑ ก่อนที่จะค่อยๆ กลับมาสู่ระดับ ๑,๔๐๐ เศษหลังเหตุการณ์ปฏิวัติในปี ๒๕๕๗
ในช่วงที่มีนายกรัฐมนตรีชื่อพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เคยขึ้นไปสู่จุดที่สูงสุดที่ถือว่าเป็น All Time High ที่ ๑,๘๕๒ จุดในปี ๒๕๖๑ แต่ก็ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิดที่มีผลต่อเศรษฐกิจทั่วโลก โดยดัชนีตลาดของไทยร่วงมาสู่จุดต่ำสุดที่ ๙๖๙.๐๘ จุดในปี ๒๕๖๓ แต่ก็กลับขึ้นมาได้อีกครั้ง
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยเริ่มทรุดตัวอีกครั้งหนึ่งหลังการเลือกตั้งในปี ๒๕๖๖ และพรรคเพื่อไทยได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลโดยมีนายกฯที่มาจากเจ้าของกิจการอสังหาริมทรัพย์ โดยเมื่อนับจากเดือนสิงหาคม ๒๕๖๖ ถึง วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๗ ดัชนีได้ร่วงลงมากกว่า ๒๐๐ จุด จนอยู่ที่ ๑,๓๑๘.๕๗ จุด เศรษฐกิจของชาติเริ่มเข้าสู่ภาวะตกต่ำจากการนำนโยบายประชานิยมที่พรรคนี้ชอบนำมาใช้ โดยไม่ได้ให้ความสำคัญต่อการบริหารโดยเน้นการฟื้นฟูและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในการไปสู่เศรษฐกิจที่แข็งแรงของชาติตามที่ควรจะเป็น มีการนำเงินของชาติที่มาจากภาษีรายได้ของประชาชนที่ต้องเสียภาษีที่มีอยู่ประมาณ๔ ล้านคน จำนวนหลายแสนล้านบาทมาจ่ายให้ประชาชนส่วนหนึ่งอันเป็นกลุ่มผู้ที่เสียภาษีน้อยหรือไม่ต้องเสียภาษีเลย โดยเชื่อว่าจะทำให้เกิดพายุหมุนจากเงินที่แจกไป ๓-๔ รอบ และจะทำให้เศรษฐกิจของชาติดีขึ้น ซึ่งก็ปรากฏว่าไม่เป็นความจริงเลย กลับกลายเป็นพายุหมุนที่สร้างความเสียหายให้แก่บ้านเมืองเสียมากกว่า
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้ดิ่งตัวลงมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันที่มีนายกฯ ที่เป็นลูกสาวของอดีตนายกฯที่เคยทุจริตเงินของชาติและถูกศาลสั่งจำคุก ๘ ปี แต่ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเหลือเพียง ๑ ปี แต่ก็มีการใช้กระบวนการพลิกแพลงกฎหมายจนไม่ต้องติดคุกจริง ด้วยการอ้างการเจ็บป่วยหนักเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล แต่เมื่ออาการพ้นภาวะฉุกเฉินแล้ว ก็ยังไม่ถูกนำกลับมารักษาตัวในโรงพยาบาลของกรมราชทัณฑ์ซึ่งอยู่ในบริเวณคุก
ไม่มีอะไรดีขึ้นภายใต้การบริหารของนายกฯหญิงคนนี้ ซึ่งก็ไม่เคยมีประสบการณ์การบริหารงานในระดับสูงเช่นนี้มาก่อน และดูเหมือนจะถูกทั้งควบคุมและครอบงำโดยอดีตนายกฯที่ได้พูดถึงไปแล้ว ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ตกต่ำอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันอยู่ที่ระดับ ๑,๒๐๐ จุด และธนาคารโลกตลอดจน IMF ก็ประเมินการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยคาดว่า GDP ของไทยจะอยู่ที่ระดับ ๑.๖ ถึง ๒.๐% เท่านั้น ในขณะที่สถาบันจัดอันดับเศรษฐกิจ Moody ได้จัดอันดับ เครดิตเศรษฐกิจของไทยอยู่ในลักษณะ negative หรือมุมมองเป็นลบ นับเป็นการตกต่ำอย่างมากที่สุด แต่รัฐบาลก็เอาเรื่องการที่สหรัฐอเมริกาจะปรับเปลี่ยนระบบภาษีมาเป็นข้ออ้าง แถมยังมีข่าวออกมาด้วยว่ารัฐบาล จะกู้เงินอีก ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อจะเอามาพยุงและพื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ แต่ก็ไม่มีความชัดเจนว่าจะเอามาทำอย่างไร ซึ่งคนไทยทุกคนก็ต้องเข้าไปร่วมกันแบกรับหนี้เพิ่มขึ้นจากเดิมอีก
อยากจะเห็นมาตรการด้านกฎหมายหลายอย่าง ซึ่งถูกคุกคามด้วยการเมืองอยู่ในขณะนี้ได้รุกเข้าหาและออกฤทธิ์ให้ทั้งตัวนายกฯและอดีตนายกฯผู้พ่อต้องยุติบทบาททางการเมืองเสียที ถึงแม้ว่าจะต้องมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารบ้านเมือง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ก็น่าจะเชื่อได้ว่าเศรษฐกิจของบ้านเมืองจะไม่เลวร้ายลงไปกว่านี้ จนใกล้จะล้มละลายแล้ว ประเทศชาติจะได้มีการเจริญเติบโตขึ้นบ้าง กระบวนการทุจริตคอร์รัปชั่นทั้งจากข้าราชการและนักการเมืองลดน้อยลง และประชาชนมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขมากขึ้น
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี