จุดกำเนิดและความรุ่งเรือง เขมรแดง (Khmer Rouge หรือ "ขแมรรูจ") เป็นขบวนการคอมมิวนิสต์ในกัมพูชาที่ก่อตัวขึ้นในกัมพูชา ช่วง พ.ศ. 2518–2522 มีผู้นำสำคัญคือ พอล พต (ซาลอธ ซาร์) พร้อมด้วย เอียง ซารี, เขียว สัมพัน, ซอน ซาน และฮู ยวน ซึ่งล้วนเป็นปัญญาชนชาวกัมพูชาที่เคยศึกษาในฝรั่งเศส ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดคอมมิวนิสต์และลัทธิเหมา พวกเขามีเป้าหมายจะสร้าง "สังคมไร้ชนชั้น" ที่เน้นภาคเกษตรกรรม ตัดขาดอิทธิพลตะวันตก และใช้วิธีปฏิวัติอย่างสุดโต่ง ผ้าขาวม้ากลายเป็นสัญลักษณ์เฉพาะของกองกำลังเขมรแดง
ราว พ.ศ. 2490 กลุ่มปัญญาชนเหล่านี้ เริ่มต่อต้านรัฐบาลเจ้าสีหนุ และได้รับการสนับสนุนจากเวียดมินห์ พอล พต ก่อตั้งฐานปฏิบัติการของพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาที่กำปงจาม ใกล้พรมแดนเวียดนามใต้ โดยได้รับการสนับสนุนจากจีนและเวียดนามเหนือ พ.ศ. 2510 มีการจัดตั้งกองกำลังเขมรแดงขึ้นโดยผู้นิยมลัทธิเหมา
ต่อมา พ.ศ. 2515–2518 กองกำลังเขมรแดงเริ่มขยายพื้นที่ยึดครอง และนำระบบนารวมมาใช้ จนกระทั่งวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2518 ซึ่งตรงกับวันปีใหม่เขมร เขมรแดงเข้ายึดกรุงพนมเปญได้สำเร็จ และจัดตั้งรัฐบาล "กัมพูชาประชาธิปไตย" พร้อมเริ่มต้นแผนสร้างสังคมใหม่โดยการกวาดต้อนประชาชนสู่ชนบท บังคับแรงงาน และกำจัดผู้ที่ถูกมองว่าเป็น “ศัตรูทางชนชั้น”
การกระทำเหล่านี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากการสังหาร แรงงานหนัก และความอดอยากระหว่าง 850,000 ถึงกว่า 3 ล้านคน ถือเป็นหนึ่งในโศกนาฏกรรมทางมนุษยธรรมที่ร้ายแรงที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20
ความโหดร้ายบนทุ่งสังหาร ประชาชนถูกบังคับให้ออกจากเมืองไปทำงานในชนบท แต่งกายชุดดำเหมือนกันหมด สิทธิเสรีภาพถูกลิดรอนอย่างรุนแรง ปัญญาชน ข้าราชการ ครู แพทย์ พระสงฆ์ และชนกลุ่มน้อยตกเป็นเป้าหมายของการกำจัด
"คุกตวลสเลง" (Tuol Sleng หรือ S-21) เดิมเป็นโรงเรียนมัธยม แต่ถูกเปลี่ยนเป็นสถานที่กักขัง ทรมาน และสังหารผู้คนอย่างเป็นระบบ ขณะที่ “ทุ่งสังหาร” (Killing Fields) กลายเป็นสุสานหมู่มากกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ มีผู้ประเมินว่าประชากรกัมพูชาราว 1.5 – 3 ล้านคน หรือเกือบหนึ่งในสี่ของประชากรในขณะนั้น ต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว
การลี้ภัยสู่แผ่นดินไทย ชาวเขมรจำนวนมากลี้ภัยเข้ามายังประเทศไทย มีการตั้งค่ายผู้ลี้ภัยตามแนวชายแดน เช่น ที่เขาอีด่าง หนองจาน สระแก้ว สุรินทร์ และบุรีรัมย์ ประเทศไทยต้องรับภาระด้านมนุษยธรรมในการช่วยเหลือผู้ลี้ภัย ในช่วงวิกฤตินี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี ทรงมีบทบาทสำคัญในการพระราชทานความช่วยเหลือ
การล่มสลายของเขมรแดง ความขัดแย้งกับเวียดนามซึ่งสะสมมาตลอดช่วงกลางทศวรรษ 1970 ทำให้กองทัพเวียดนามเข้ายึดครองกัมพูชาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2522 สิ้นสุดยุคเขมรแดงอย่างเป็นทางการ แต่ก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองระลอกใหม่ตามมา
ชะตากรรมของเขมรแดงในปัจจุบัน แม้เขมรแดงยังคงเคลื่อนไหวในฐานะกองกำลังต่อต้านอยู่หลายปี แต่ก็อ่อนกำลังลงอย่างต่อเนื่อง กระทั่งสิ้นสุดในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ผู้นำหลายคน เช่น พอล พต, เขียว สัมพัน และนวน เจีย ต่างมีชะตากรรมต่างกันไป พอล พต เสียชีวิตในปี 1998 โดยไม่ถูกดำเนินคดี ในขณะที่อีกสองรายถูกศาลพิเศษแห่งกัมพูชาตัดสินว่ามีความผิดฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ในปัจจุบัน เขมรแดงในฐานะองค์กรได้สิ้นสุดลงอย่างสิ้นเชิง แต่อุดมการณ์สุดโต่งและบาดแผลทางสังคมที่พวกเขาทิ้งไว้ยังคงอยู่ในความทรงจำของชาวกัมพูชาและโลกทั้งใบ
บทสรุป เขมรแดงคือบทเรียนสำคัญแห่งประวัติศาสตร์ยุคใหม่ ที่สะท้อนให้เห็นว่าแนวคิดสุดโต่งและอำนาจที่ไม่มีการควบคุม อาจนำไปสู่หายนะอันใหญ่หลวง การเข้าใจประวัติศาสตร์ของเขมรแดง จึงไม่ใช่เพียงการศึกษาความรุนแรงในอดีต แต่คือการเตือนใจร่วมกันว่าเราทุกคนต้องปกป้องคุณค่าความเป็นมนุษย์
โดย สุริยพงศ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี