คนในบ้านเมืองของเราน่าจะคุ้นเคยกับการเป็นไข้และการใช้ยาลดไข้ เพราะคนจำนวนไม่น้อยเป็นไข้ค่อนข้างบ่อย
อาการไข้เป็นกลไกธรรมชาติที่เกิดเมื่อร่างกายต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอม เช่น เชื้อโรค หรือการอักเสบ โดยสมองส่วนไฮโปทาลามัสจะควบคุมอุณหภูมิร่างกายให้สูงขึ้น เพื่อสร้างสภาวะที่ไม่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น แล้วยังเป็นสัญญาณบอกเราว่ากำลังมีภาวะผิดปกติ
สาเหตุของไข้มีตั้งแต่การติดเชื้อไวรัสทั่วไป เช่น ไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่ ไปจนถึงการติดเชื้อแบคทีเรีย อาการจากโรคภูมิต้านตนเอง ผลข้างเคียงจากยา การฉีดวัคซีน หรือแม้แต่โรคมะเร็งบางชนิด ความเครียดเรื้อรังก็อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ร่างกายเกิดการอักเสบและมีไข้ได้เช่นกัน
เราจะรู้ว่าเป็นไข้เมื่ออุณหภูมิร่างกายสูงเกินกว่า 36.2–37.5°C หากสูงเกินช่วงนี้ถือว่าเริ่มมีไข้ โดยแบ่งระดับได้ดังนี้
ไข้ต่ำ อุณหภูมิร่ายกายอยู่ระหว่าง 37.6–38.3°C
ไข้ปานกลาง อุณหภูมิร่ายกายอยู่ระหว่าง 38.4–39.4°C
ไข้สูง อุณหภูมิร่ายกายอยู่ระหว่าง 39.5–40.5°C
แต่ถ้าอุณหภูมิร่ายกายเกิน 40.5°C จัดว่าไข้สูงมาก
การวัดไข้ ทำได้ช่องทาง แต่ละวิธีที่ใช้วัดอุณหภูมิจะมีผลต่อค่าที่ได้ เช่น การวัดอุณหภูมิใต้ลิ้นและทางหูมักให้ค่าที่แม่นยำที่สุด
แต่สิ่งที่สำคัญคือ ต้องหาสาเหตุของไข้ว่าเกิดจากเหตุใด เพื่อจะได้จัดการแก้ปัญหาได้ถูกต้อง
ส่วนการลดไข้มีหลายวิธี เช่น การเช็ดตัวด้วยน้ำเพื่อระบายความร้อน โดยใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นบิดหมาด เช็ดตามข้อพับ เช่น รักแร้ คอ ขาหนีบ ควรพักในห้องที่อากาศถ่ายเทดี หลีกเลี่ยงห้องร้อนหรืออับ สวมเสื้อผ้าบาง ๆ เพื่อช่วยให้ร่างกายระบายความร้อนได้ดีขึ้น และต้องดื่มน้ำให้มาก หรือดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไปกับการระบายความร้อน
ยิ่งเด็กเล็กที่เป็นไข้ ก็ต้องระวังให้มาก เพราะถ้าไข้สูงมาก อาจจะทำมีอาการชัก ต้องหมั่นเช็ดตัวเพื่อระบายความร้อนออก
การใช้ยาลดไข้ ตัวยาหลักและเป็นยาตัวแรกที่ขอให้เลือกใช้ ในกรณีผู้ป่วยไม่แพ้หรือป่วยเป็นโรคตับ ได้แก่ พาราเซตามอล (ได้กล่าวถึงโดยละเอียดเกี่ยวกับยาพาราเซตามอลไปแล้วเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน) แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถใช้ยาพาราเซตามอลได้ หรือใช้ยาพาราเซตามอลแล้วไข้ไม่ลด จำเป็นต้องใช้ยาที่มีฤทธิ์แรงขึ้นกว่ายาพาราเซตามอล ก็คือ ยาไอบูโพรเฟน เป็นยาตัวหนึ่งในกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) หรือ ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เป็นยาที่ใช้ได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ มีทั้งในรูปแบบยาน้ำและยาเม็ด
ขนาดแนะนำทั่วไปในเด็กคือ 5–10 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม/ครั้ง ทุก 6–8 ชั่วโมง โดยมีขนาดสูงสุดไม่เกิน 40 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม/วัน
ส่วนขนาดสำหรับผู้ใหญ่คือ 200-400 มิลลิกรัม/ครั้ง ทุก 6-8 ชั่วโมง
สามารถขอให้เภสัชกรช่วยคำนวน และกำหนดขนาดยาให้น่าจะดีกว่า แต่ยานี้มีข้อควรระวังมากกว่ายาพาราฯ คือ ห้ามใช้ในผู้แพ้ยานี้ และยานี้มีอุบัติการการแพ้มากกว่ายาพาราเซตามอล
ดังนั้น หลังการใช้งานต้องติดตามอาการ ถ้ามีอาการผื่นขึ้น หายใจติดขัดแสดงว่าแพ้ยา ต้องหยุดใช้ยาทันที หากอาการรุนแรงต้องรีบไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล นอกจากเรื่องการแพ้ยาแล้ว ยาไอบูโพรเฟนยังมีข้อควรระวังสำคัญอีก 2 อย่างคือ กัดกระเพาะ จึงต้องรับประทานหลังอาหารทันที และอาจทำให้ไตวาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุที่มีปัจจัยเสี่ยงไตวายอยู่ก่อนแล้ว
แต่ที่สำคัญคือ ถ้าเป็นไข้ที่โดยทราบสาเหตุ หรือไม่มั่นใจในสาเหตุ ไม่แนะนำให้ใช้ยาไอบูโพรเฟน หรือยาอื่นในกลุ่มเอ็นเสด เนื่องจากจะทำให้บางโรคมีภาวะที่แย่ลง และเป็นอันตราย เช่น โรคไข้เลือดออก
แต่ถ้าหากใช้ยาลดไข้แล้ว ไข้ยังสูงเกิน 38.5°C นานเกิน 2 วัน หรือมีไข้ร่วมกับอาการซึม อาเจียน หรือหายใจลำบาก ต้องไปพบแพทย์ทันที
นอกจากยาฝรั่งแล้ว ก็มียาไทย และยาสมุนไพรไทยสำหรับลดไข้ ซึ่งมีหลายชนิดตามภูมิปัญญาไทยดั้งเดิมและยังมีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์รองรับบางส่วน เช่น ฟ้าทะลายโจร บอระเพ็ด ยาจันทน์ลีลา เป็นต้น
ถ้าต้องใช้ยา และต้องการคำแนะนำขอให้ปรึกษาเภสัชกรก่อน เพื่อจะได้ใช้ยาได้ถูกต้องเหมาะสม
สรุป ไข้เป็นอาการหนึ่งที่พบได้บ่อย เกิดจากหลายสาเหตุ การใช้ยาลดไข้ที่แนะนำ (ถ้าไม่แพ้) คือ พาราเซตามอล นอกจากการใช้ยาลดไข้แล้ว ควรบรรเทาไข้ด้วยวิธีการอื่นร่วมด้วย เช่น เช็ดตัวเพื่อระบายความร้อน ดื่มน้ำมากเปล่ามากๆ
แต่หากรักษาด้วยตนเองภายใน 2-3 วันแล้วอาการไม่ดีขึ้น ต้องรีบไปพบแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยและข้อเตือนว่าระยะนี้มีไข้เลือดออกระบาด จึงต้องดูแลตัวเองให้ดี ใช้ยาให้ถูกต้อง หากกรักษาอาการผิด หรือล่าช้าเกินไปอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
รศ. ภญ. ดร. ณัฏฐดา อารีเปี่ยม และ รศ. ภก. ดร. บดินทร์ ติวสุวรรณ
คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี