ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2568 มีรายงานข่าวและคลิปวิดีโอเกี่ยวกับพฤติกรรมของชาวกัมพูชาบางกลุ่ม บริเวณปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนที่ยังมีข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา โดยมีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เช่น การร้องเพลงชาติกัมพูชา การชี้หน้า ตะโกนด่า ขับไล่ แสดงความไม่เป็นมิตรต่อเจ้าหน้าที่ไทย ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลในหมู่ประชาชนไทยถึงสาเหตุและแนวทางการรับมือที่เหมาะสม
สาเหตุของการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์
การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของชาวกัมพูชา ณ บริเวณปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควายมีรากฐานมาจากหลายปัจจัย ดังนี้:
1. ปัญหาเขตแดนที่ยังไม่ชัดเจน: พื้นที่ปราสาททั้งสองแห่งตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนที่ไทยและกัมพูชายังมีความเห็นต่างเกี่ยวกับแนวเขตแดน เนื่องจากยึดถือแผนที่คนละฉบับ
2.ความรู้สึกชาตินิยม: ชาวกัมพูชาจำนวนมากมีความรู้สึกชาตินิยมอย่างเข้มข้น และมองว่าปราสาทเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของมรดกทางวัฒนธรรมของตน การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์จึงเป็นการยืนยันสิทธิและอธิปไตยในมุมมองของพวกเขา
3.การปลุกระดมทางการเมือง: บางครั้งการแสดงออกเหล่านี้อาจถูกปลุกระดมโดยกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองในกัมพูชา เพื่อสร้างกระแสชาตินิยมและใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองหรือสร้างแรงกดดัน
แนวทางการรับมือของไทย
การรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้จำเป็นต้องใช้ความรู้ ความรอบคอบและยึดหลักสันติวิธีเป็นสำคัญ เพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลายและกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หากการห้ามปรามด้วยวาจาหรือการตักเตือนไม่เป็นผล ทหารไทยควรดำเนินมาตรการดังต่อไปนี้:
1.ยึดมั่นในกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศ : ทหารไทยชายแดนทุกคนควรเรียนรู้เกี่ยวกับบันทึกความเข้าใจ เอ็มโอยู 43 (MOU 43) ข้อ5 จนเข้าใจดี เพื่อไม่ให้เป็นช่องให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตี คือ “งดเว้นการดำเนินการใด ๆ ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่พิพาท” เช่นการแสดงสัญลักษณ์ ความเป็นเจ้าของ ในพื้นที่พิพาท เช่น ร้องเพลงชาติ ผูกผ้าสีธงชาติ หรือตะโกนไล่ทหารให้ออกไปจากบริเวณ พื้นที่พิพาท
2.บันทึกหลักฐานอย่างละเอียด: ควรมีการบันทึกภาพและเสียงของเหตุการณ์ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินการตามกฎหมายหรือการเจรจาระดับสูงต่อไป
3.หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าโดยตรงและใช้ความรุนแรง: สิ่งสำคัญที่สุดคือการหลีกเลี่ยงการใช้กำลังหรือการตอบโต้ด้วยอาวุธ ซึ่งอาจทำให้สถานการณ์บานปลายเลวร้ายลงและนำไปสู่ความขัดแย้งที่ใหญ่กว่า
4.ประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และรายงานผู้บังคับบัญชา: รีบรายงานสถานการณ์ผิดปกติให้ผู้บังคับบัญชาทราบโดยทันที เพื่อจะได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ หาแนวทางแก้ไขปัญหาในระดับนโยบายและการทูต
5.เสริมการเฝ้าระวังและลาดตระเวน: เพิ่มความถี่ในการลาดตระเวน เพื่อป้องกันการบุกรุกหรือการกระทำใดๆ ที่อาจละเมิดอธิปไตย โดยใช้อุปกรณ์สมัยใหม่ช่วยเช่นกล้องวงจรปิด โซล่ารเซลล์
6.ส่งเสริมการสื่อสารและความเข้าใจ: แม้จะเป็นเรื่องยากในสถานการณ์ที่ตึงเครียด แต่การเปิดช่องทางการสื่อสารและการส่งเสริมความเข้าใจที่ถูกต้องระหว่างประชาชนและทหารทั้งสองฝ่ายยังคงเป็นสิ่งจำเป็น
แนวปฏิบัติที่ทหารไทยควรทำ
1. รักษาวินัยและความสงบ:
2. ปฏิบัติตามขั้นตอนมาตรฐาน:
2.1 เตือนด้วยวาจา ผ่านลำโพงหรือล่าม ให้ยุติการกระทำ
2.2 บันทึกภาพ/เสียง เพื่อเป็นหลักฐาน
2.3 รายงานผู้บังคับบัญชา
3. หากผู้กระทำไม่เชื่อฟัง:
3.1 ตั้งแนวป้องกันเพิ่มระยะ ไม่ให้เกิดการปะทะทางกาย
3.2 ประสานฝ่ายทหารของกัมพูชา ให้เข้ามาควบคุมประชาชนของตน
4. สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง:
4.1 ห้ามตอบโต้ด้วยความรุนแรงหรือแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวกลับ
4.2 ห้ามด่าทอหรือตอบโต้ทางอารมณ์ เพราะจะทำให้สถานการณ์บานปลาย
4.3 ห้ามล้ำเส้นแดนเพื่อตามจับกุมเพราะอาจถูกตีความว่า "ล่วงล้ำอธิปไตย"
4.4 ห้ามใช้ปืน ยิงเตือนหรือใช้กำลังโดยไม่มีภัยคุกคามต่อชีวิตชัดเจน
โดย สุริยพงศ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี