ทหารและตำรวจชายแดนไทย-กัมพูชา นอกจากจะยิงปืน ขับรถถัง เป็นแล้ว ยังต้องมีความรู้ความเข้าใจในหลายสิ่ง เพราะมิฉะนั้นอาจพลาดท่าเสียที พ่ายแพ้แก้ศัตรูตั้งแต่ยังไม่ได้ยิงปืนสักนัดเดียว
บทความนี้จะสรุปย่อถึง สิบสิ่งที่ทหารและตำรวจชายแดนควรจะทราบและปฏิบัติตาม เช่น เรื่องเอ็มโอยู 43 แผนที่หนึ่งต่อสองแสน และอื่นๆ แยกเป็น 10 หัวข้อคือ 1.ข้อพิพาทและประวัติศาสตร์ชายแดนไทย-กัมพูชา 2. กฎหมาย, เอ็มโอยู (MOU)และข้อตกลงที่เกี่ยวข้อง 3. สถานการณ์ความมั่นคงและกลยุทธ์ของกัมพูชา 4. การเผชิญหน้าและการบริหารความขัดแย้งโดยสันติ 5. ภูมิศาสตร์และสภาพพื้นที่ชายแดน 6 . ความสัมพันธ์กับชุมชนชายแดนและวัฒนธรรมท้องถิ่น 7. การข่าว, สงครามข้อมูล, และการบันทึกหลักฐาน 8. ความเสี่ยงด้านชีวิตและความปลอดภัย 9. กลไก/ช่องทางการประสานงานและการสื่อสาร 10. บทบาทของยูเนสโก และมรดกโลก
1.ข้อพิพาทและประวัติศาสตร์ชายแดนไทย-กัมพูชา ความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างไทยและกัมพูชามีมิติที่ซับซ้อน ทั้งด้านวัฒนธรรม ประเพณี และประวัติศาสตร์ที่พัวพันกันมาอย่างแยกไม่ออก แต่ก็มีประเด็นที่สร้างความตึงเครียดและข้อพิพาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ ดินแดนและเขตแดน ซึ่งทหาร และตำรวจชายแดนจำเป็นต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงรากเหง้าของปัญหาเหล่านี้
จุดเริ่มต้นของปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา ส่วนหนึ่งมาจาก สนธิสัญญาที่สยามทำกับฝรั่งเศส โดยเฉพาะสนธิสัญญาปี พ.ศ. 2447 (ค.ศ. 1904) และ พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) ซึ่งกำหนดแนวเขตแดนโดยใช้สันปันน้ำเป็นหลัก แต่ในทางปฏิบัติ การตีความ แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่จัดทำขึ้นในสมัยนั้น ทำให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนและไม่ชัดเจนหลายแห่ง พื้นที่เหล่านี้กลายเป็นชนวนของความขัดแย้งเรื่อยมา
กรณีที่โดดเด่นที่สุดคือ ปราสาทพระวิหาร ซึ่งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ศาลโลก (ICJ) มีคำพิพากษาในปี พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) ให้ปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในอธิปไตยของกัมพูชา อย่างไรก็ตาม คำพิพากษานี้ไม่ได้ตัดสินเรื่องพื้นที่โดยรอบทั้งหมด ทำให้บริเวณโดยรอบปราสาทเขาพระวิหารดังกล่าวกลายเป็นประเด็นพิพาทต่อเนื่อง
นอกจากเขาพระวิหารแล้ว ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่ยังคงเป็น พื้นที่ทับซ้อน (Overlap Claim Area) ซึ่งแต่ละฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ เช่น บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี และบริเวณปราสาทตาเมือน-ตาควาย จังหวัดสุรินทร์ ความไม่ชัดเจนเหล่านี้มักนำไปสู่การเผชิญหน้าและการปะทะกันเป็นระยะ ทหารไทยจึงต้องศึกษาแผนที่และข้อมูลเหล่านี้อย่างละเอียด ให้รู้ว่าพื้นที่ใดคือพื้นที่ที่ไทยอ้างสิทธิ์ พื้นที่ใดคือพื้นที่ทับซ้อน และพื้นที่ใดที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างสิทธิ์
2. กฎหมาย, บันทึกความเข้าใจ... เอ็มโอยู (MOU), และข้อตกลงที่เกี่ยวข้อง:
การปฏิบัติหน้าที่ของทหารและตชด.ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ใช่เพียงแค่การใช้กำลังป้องกันอธิปไตยเท่านั้น แต่ยังต้องดำเนินไปภายใต้กรอบของ กฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศ อย่างเคร่งครัด ความรู้ความเข้าใจในข้อกำหนดเหล่านี้เปรียบเสมือนเข็มทิศที่จะนำทางให้ทหารสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกต้อง ป้องกันการละเมิดอำนาจอธิปไตยหรือสิทธิของอีกฝ่าย และเป็นพื้นฐานในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้น การละเลยหรือไม่ทราบกฎหมายอาจนำไปสู่ข้อกล่าวหาและผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศได้
สิ่งแรกที่ทหารและตชด.ควรทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งคือ บันทึกความเข้าใจ หรือ เอ็มโอยู (MOU) ระหว่างไทยกับกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 (MOU 2000) (Memorandum of Understanding on the Survey and Demarcation of Land Boundary) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า เอ็มโอยู 43 (MOU 43) ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่กำหนดแนวทางปฏิบัติในพื้นที่ที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดนอย่างชัดเจน โดยมีสาระสำคัญคือ
“งดเว้นการดำเนินการใด ๆ ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ชายแดน” “shall not carry out any work resulting in changes of environment of the frontier zone”
ซึ่งรวมถึงการห้ามแสดงสัญลักษณ์ความเป็นเจ้าของ ในพื้นที่พิพาท ทหารต้องนำข้อนี้มาใช้ในการเตือนฝ่ายตรงข้ามอย่างมีเหตุผล หากมีการกระทำที่ฝ่าฝืน ไม่ใช่การใช้อารมณ์หรือกำลัง ซึ่งอาจนำไปสู่การปะทะโดยไม่จำเป็น
นอกจาก เอ็นโอยู 43 ( MOU 43) แล้ว ทหารยังต้องตระหนักถึง กฎหมายระหว่างประเทศ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการทางทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law - IHL) หรือที่รู้จักกันในชื่อ กฎหมายสงคราม ซึ่งระบุถึงการคุ้มครองพลเรือน, ผู้บาดเจ็บ, เชลยศึก, และการจำกัดวิธีการและเครื่องมือในการทำสงคราม แม้จะไม่ได้อยู่ในสถานการณ์สงครามเต็มรูป แต่การเผชิญหน้าชายแดนก็อาจนำไปสู่การใช้กำลังได้
นอกจากนี้ ยังมี กฎหมายภายในประเทศ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ทหาร เช่น พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก, กฎหมายว่าด้วยการจับกุม, และระเบียบการใช้กำลัง ทหารต้องเข้าใจขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตนเองอย่างชัดเจน เพื่อไม่ให้ปฏิบัติเกินกว่าเหตุหรือหย่อนยานจนเสียการควบคุม
3. สถานการณ์ความมั่นคงและกลยุทธ์กัมพูชา: รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
ปัจจุบันนี้ กองทัพกัมพูชา มีการจัดกำลังพลและยุทโธปกรณ์ประจำการตามแนวชายแดน ทหารไทยต้องรับทราบถึง ขนาดกำลังพล โดยประมาณ, ประเภทของอาวุธหนักทันสมัยที่ได้รับมาจากจีน (เช่น จรวดหลายลำกล้อง, ปืนใหญ่, เครื่องยิงลูกระเบิด), และ จุดที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ ของหน่วยทหารกัมพูชา ทหารควรได้รับข้อมูลข่าวกรองอย่างสม่ำเสมอเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวเหล่านี้
นอกเหนือจากศักยภาพทางทหารแล้ว กลยุทธ์ของกัมพูชา ในการจัดการประเด็นชายแดนก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทหารต้องทำความเข้าใจ กัมพูชามักใช้ "มวลชน" หรือ "ชาวบ้าน" เป็นเครื่องมือในการกดดันไทย โดยอาจมีการส่งผู้ชุมนุมมาแสดงสัญลักษณ์บริเวณปราสาทหรือพื้นที่พิพาท เพื่อสร้างสถานการณ์และอ้างสิทธิ์ การกระทำเหล่านี้มักมีการ ถ่ายคลิปหรือภาพ เพื่อนำไปเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์หรือใช้เป็นหลักฐานในการยื่นฟ้องศาลโลก หรือองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ทหารไทยจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่ตกหลุมกลยุทธ์ยั่วยุเหล่านี้ และหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงหรือการกระทำใดๆ ที่อาจถูกนำไปบิดเบือนได้
4. การเผชิญหน้าและการบริหารความขัดแย้งโดยสันติ: ยุทธวิธีแห่งการทูตชายแดน
ในพื้นที่ชายแดนที่ยังมีข้อพิพาทและความอ่อนไหวสูง การเผชิญหน้า ระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา หรือแม้แต่กับพลเรือนที่ล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ จึงเป็นสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา การจัดการกับสถานการณ์เหล่านี้โดยไม่ให้บานปลายไปสู่ความรุนแรง เป็นทักษะที่สำคัญยิ่งสำหรับทหารชายแดนไทย เพราะการใช้กำลังเป็นทางเลือกสุดท้ายเสมอ
ทหารไทยต้องได้รับการฝึกฝนให้รู้วิธี "ยับยั้งเหตุ" โดยไม่ตอบโต้ด้วยอารมณ์หรือการใช้กำลังโดยไม่จำเป็น สิ่งแรกคือการ รักษาความสงบ และควบคุมสถานการณ์ด้วยสติ ทหารต้องไม่ตื่นตระหนกหรือตอบสนองด้วยความก้าวร้าว การแสดงออกถึงความเป็นมืออาชีพและท่าทีที่มั่นคงจะช่วยลดความตึงเครียดได้
ทักษะการเจรจาและการสื่อสาร เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์เผชิญหน้า ทหารควรได้รับการฝึกอบรมวิธีการเจรจาขั้นพื้นฐาน การใช้ถ้อยคำที่สุภาพแต่หนักแน่น การอธิบายเหตุผล และการอ้างอิงถึง MOU 43 หรือข้อตกลงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจนและถูกต้อง การใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและหลีกเลี่ยงคำพูดที่ยั่วยุ จะช่วยให้การสื่อสารเป็นไปอย่างสร้างสรรค์มากขึ้น การรู้คำศัพท์พื้นฐานภาษาเขมรสำหรับการสื่อสารจำเป็น เช่น "หยุด" "มานี่" "กลับไป" "อันตราย" จะช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
หากถูกยั่วยุ หรือมีการแสดงสัญลักษณ์ความเป็นเจ้าของในพื้นที่ทับซ้อน ทหารไทยจะต้อง มีหลักฐานที่ชัดเจน เช่น ภาพถ่าย หรือคลิปวิดีโอ เพื่อป้องกันการถูกใส่ร้ายหรือบิดเบือนข้อเท็จจริงในภายหลัง การบันทึกเหตุการณ์อย่างเป็นระบบและรายงานตามขั้นตอน จะช่วยให้หน่วยเหนือสามารถประเมินสถานการณ์และดำเนินการทางการทูตต่อไปได้อย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ การสร้าง ความสัมพันธ์ที่ดีกับทหารกัมพูชาในระดับพื้นที่ ก็เป็นสิ่งสำคัญ การทำความรู้จักกันในระดับบุคคลผ่านการประชุมแลกเปลี่ยนข้อมูล การมอบของขวัญ มอบสิ่งที่ขาดแคลนต้องการ แข่งขันกีฬา หรือกิจกรรมทางสังคมอื่นๆ สามารถช่วยสร้างความไว้วางใจ ลดอคติ และสร้างช่องทางการสื่อสารที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งอาจมีประโยชน์ในการคลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียดได้อย่างรวดเร็ว
5. ภูมิศาสตร์และสภาพพื้นที่ชายแดน: สนามรบที่ต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
5.1 ลักษณะภูมิประเทศชายแดนไทย กัมพูชา โดยรวม:
เทือกเขาและป่าไม้ทึบ: โดยเฉพาะบริเวณภาคตะวันออกของไทย เช่น จังหวัดจันทบุรี ตราด ที่ติดกับเทือกเขาบรรทัด และทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น เทือกเขาพนมดงรักที่ทอดยาวผ่านจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี พื้นที่เหล่านี้มีสภาพเป็นป่าดิบทึบ มีความลาดชันสูง ภูเขาหินปูนสลับซับซ้อน ทำให้การเคลื่อนที่และปฏิบัติการเป็นไปอย่างยากลำบาก
ที่ราบสูงและที่ราบลุ่ม: ในบางพื้นที่ โดยเฉพาะทางจังหวัดสระแก้ว จะเป็นที่ราบสูงสลับกับเนินเตี้ยๆ และมีที่ราบลุ่มใกล้แม่น้ำลำคลอง ซึ่งอาจมีน้ำท่วมขังในช่วงฤดูฝน
แม่น้ำและลำคลอง: มีแม่น้ำและลำคลองหลายสายเป็นแนวเขตแดนหรือไหลผ่านพื้นที่ชายแดน ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคในการเคลื่อนที่หรือใช้เป็นเส้นทางในการลักลอบเข้า-ออก
ชายฝั่งทะเล: ในส่วนของจังหวัดตราด มีพื้นที่ชายฝั่งทะเลติดกับกัมพูชา รวมถึงพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและทรัพยากรธรรมชาติ
5.2 สภาพภูมิอากาศ:
ฤดูร้อน: อากาศร้อนจัดและแห้งแล้ง อาจเกิดไฟป่าได้ง่าย
ฤดูฝน: มีฝนตกชุก ทำให้พื้นดินเปียกแฉะ เป็นโคลน การสัญจรยากลำบาก ทัศนวิสัยไม่ดี และอาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน
5.3 จุดผ่านแดนและช่องทางธรรมชาติ:
จุดผ่านแดนถาวร/จุดผ่อนปรนทางการค้า: เป็นจุดที่มีการสัญจรของประชาชนและสินค้า ซึ่งอาจเป็นช่องทางในการลักลอบขนส่งสิ่งผิดกฎหมาย
ช่องทางธรรมชาติ: มีช่องทางธรรมชาติที่ไม่ได้มีการควบคุมหลายแห่ง ซึ่งมักถูกใช้ในการลักลอบเข้าเมือง ผิดกฎหมาย หรือการเคลื่อนย้ายกองกำลัง
5.4 พื้นที่ที่มีข้อพิพาท/ทับซ้อน:
พื้นที่ตามแนวปราสาทเขาพระวิหาร: บริเวณภูมะเขือ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นพื้นที่ที่มีข้อพิพาทและมีการวางกำลังทั้งสองฝ่าย ซึ่งอาจเกิดการปะทะได้ง่าย
พื้นที่ช่องบก: อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี และกลุ่มปราสาทตาเมือน จังหวัดสุรินทร์ เป็นพื้นที่ที่เกิดความตึงเครียดขึ้นเป็นระยะ
พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล: ในอ่าวไทยเป็นพื้นที่ที่ทั้งสองประเทศยังคงอ้างสิทธิ์ทับซ้อนกัน
5.5 ภัยคุกคามอื่นๆ:
ทุ่นระเบิดและกับระเบิด: ในบางพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณที่มีการสู้รบในอดีต อาจยังมีทุ่นระเบิดหรือกับระเบิดหลงเหลืออยู่ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อกำลังพลและประชาชน
การลักลอบตัดไม้ทำลายป่า: เป็นปัญหาที่พบได้บ่อย ทำให้สภาพป่าเสื่อมโทรมและอาจมีกลุ่มผู้กระทำผิดติดอาวุธ
อาชญากรรมข้ามชาติ: การค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ การลักลอบขนสินค้าหนีภาษี
5.6 ปัจจัยอื่นๆ ที่ทหารควรรู้:
ข้อมูลแผนที่: ความแตกต่างในการใช้แผนที่ของแต่ละฝ่าย (เช่น แผนที่ฝรั่งเศสของกัมพูชา (หนึ่งต่อสองแสน 1:200,000) กับ แผนที่ตามแนวสันปันน้ำของไทย(หนึ่งต่อห้าหมื่น 1:50,000) ทำให้เกิดความเข้าใจในแนวเขตแดนที่ไม่ตรงกัน
วัฒนธรรมและภาษา: การทำความเข้าใจวัฒนธรรมและภาษาของประชาชนในพื้นที่ชายแดน รวมถึงภาษาเขมรเบื้องต้น จะช่วยในการประสานงานและการปฏิบัติงานพลเรือน
ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน: การทำความเข้าใจสถานการณ์ทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง
การประสานงาน: การประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและกับฝ่ายกัมพูชาผ่านกลไกต่างๆ เช่น คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (JBC) มีความสำคัญในการแก้ไขปัญหาและลดความตึงเครียด
การทำความเข้าใจสภาพพื้นที่ชายแดนเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง จะช่วยให้ทหารสามารถวางแผนปฏิบัติการได้อย่างรอบคอบ ป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น และปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6. ความสัมพันธ์กับชุมชนชายแดนและวัฒนธรรมท้องถิ่น:
การปฏิบัติหน้าที่ของทหาร และ ตชด.ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเฝ้าระวังหรือการใช้กำลังเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้าง ความสัมพันธ์อันดีกับชุมชน ทั้งฝั่งไทยและกัมพูชาที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน ชุมชนเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงผู้ถูกปกป้อง แต่คือ “ดวงใจและดวงตา" ของกองทัพ เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญ และเป็นแนวกันชนระหว่างความขัดแย้ง การเข้าใจวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิต จะช่วยให้ทหารปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพและได้รับความร่วมมือจากประชาชน
การสร้าง "พลังอ่อนโยน หรือ Soft Power" ผ่านกิจกรรมที่ส่งเสริมความสัมพันธ์อันดี เป็นสิ่งสำคัญ ทหาร และ ตชด. สามารถจัดกิจกรรมร่วมกับชุมชน เช่น การช่วยเหลือด้านสาธารณสุข, การให้ความรู้, การจัดงานประเพณี, หรือการส่งเสริมการค้าชายแดนที่ถูกกฎหมาย กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวบ้าน แต่ยังช่วยสร้างความไว้วางใจ ความเข้าใจ และลดช่องว่างระหว่างทหารกับประชาชน
การเข้าใจ วัฒนธรรมและประเพณี ของชาวบ้านในพื้นที่เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะวัฒนธรรมของชาวกัมพูชาและกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่อาศัยอยู่ร่วมกัน ทหารควรเรียนรู้ ภาษาเขมรขั้นพื้นฐาน สำหรับการสื่อสารที่จำเป็น เช่น คำทักทาย, คำสั่งง่ายๆ, หรือคำที่ใช้ในการสอบถามข้อมูล นอกจากนี้ การเข้าใจมารยาททางสังคม เช่น การไม่แตะต้องศีรษะผู้ใหญ่, การไหว้, หรือการส่งของด้วยมือขวาหรือสองมือ ก็จะช่วยให้ความสัมพันธ์ราบรื่นและไม่เข้าใจผิดทางวัฒนธรรม
ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในฐานะ แหล่งข่าวกรอง เนื่องจากพวกเขามีความคุ้นเคยกับพื้นที่เป็นอย่างดี และสามารถสังเกตเห็นความผิดปกติหรือการเคลื่อนไหวของผู้ลักลอบได้ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีจะกระตุ้นให้ชาวบ้านกล้าที่จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ทหาร ซึ่งจะช่วยในการป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น ยาเสพติด, การค้ามนุษย์, การลักลอบขนสินค้าเถื่อน, หรือการตัดไม้ทำลายป่า
นอกจากนี้ การเข้าใจ ปัญหาและความต้องการพื้นฐานของชุมชน ก็เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องที่ทำกิน, การเข้าถึงบริการสาธารณะ, หรือผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดน การที่ทหารสามารถให้ความช่วยเหลือหรือประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ จะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความห่วงใยและสร้างความผูกพันกับประชาชน
7. การข่าว, สงครามข้อมูล, และการบันทึกหลักฐาน: เกราะป้องกันในยุคดิจิทัล
ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารไหลเวียนอย่างรวดเร็วและไร้ขอบเขต การข่าว, สงครามข้อมูล (Information Warfare - InfoWar), และการบันทึกหลักฐานอย่างมืออาชีพ ได้กลายเป็นมิติที่สำคัญยิ่งในการปฏิบัติหน้าที่ของทหาร ตำรวจไทยตามแนวชายแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวและเป็นประเด็นพิพาท
สงครามข้อมูล เป็นสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามมักนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการโจมตีไทย กัมพูชามักใช้ โซเชียลมีเดียและสื่อมวลชน เป็นช่องทางหลักในการเผยแพร่ข่าวสารที่อาจบิดเบือน ใส่ร้าย หรือยั่วยุ เพื่อสร้างกระแสชาตินิยมและกดดันประเทศไทย ทหารและตชด.ไทยจึงต้องตระหนักถึงภัยคุกคามรูปแบบใหม่นี้ และไม่ตกเป็นเหยื่อของการยั่วยุทางออนไลน์ การตอบโต้ด้วยอารมณ์หรือใช้ถ้อยคำที่ก้าวร้าวในโลกออนไลน์จะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงและตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
แนวทางที่ถูกต้องคือการ ตอบโต้ด้วยข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง ชัดเจน และเป็นกลาง โดยไม่ใช้คำพูดที่รุนแรงหรือสร้างความขัดแย้ง ควรมี โฆษกหรือทีมสื่อสารเฉพาะกิจ ที่ได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี ในการชี้แจงสถานการณ์และเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องสู่สาธารณะอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดและรักษาภาพลักษณ์ของประเทศ การสื่อสารที่โปร่งใสและน่าเชื่อถือจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนทั้งในและต่างประเทศ
8. ความเสี่ยงด้านชีวิตและความปลอดภัย (รวมทุ่นระเบิด):
การปฏิบัติหน้าที่ของทหาร ตำรวจ ตามแนวชายแดน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งหรือเคยเป็นสมรภูมิในอดีตนั้น เต็มไปด้วย ความเสี่ยงสูงต่อชีวิตและความปลอดภัย การตระหนักถึงภัยคุกคามเหล่านี้อย่างรอบด้าน และการเตรียมพร้อมรับมืออย่างมีวินัย จึงเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดสำหรับทหารทุกคน การมองข้ามความเสี่ยงแม้เพียงเล็กน้อยอาจนำมาซึ่งความสูญเสียที่ไม่อาจแก้ไขได้
หนึ่งในภัยคุกคามที่ยังคงฝังรากลึกและเป็นอันตรายอย่างยิ่งคือ ทุ่นระเบิดและวัตถุระเบิดที่ยังไม่ระเบิด (Unexploded Ordnance - UXO) ที่หลงเหลือจากสงครามในอดีต พื้นที่ชายแดนหลายแห่งยังคงมีทุ่นระเบิดชนิดต่างๆ ซุกซ่อนอยู่ ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-Personnel Mines) หรือทุ่นระเบิดต่อต้านรถถัง (Anti-Tank Mines) ทุ่นระเบิดเหล่านี้เป็นอันตรายที่มองไม่เห็น และสามารถทำงานได้ทุกเมื่อหากมีการเหยียบหรือสัมผัสโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งนำไปสู่การบาดเจ็บสาหัส หรือแม้กระทั่งเสียชีวิต
ทหารและตชด.ทุกคนต้องได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับ การรับรู้และระวังภัยจากทุ่นระเบิด อย่างเข้มข้น รู้จักประเภทของทุ่นระเบิดที่อาจพบในพื้นที่, สัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าอาจมีทุ่นระเบิด (เช่น ป้ายเตือน, รั้วลวดหนามเก่า, หรือพืชพรรณที่ขึ้นผิดปกติ), และที่สำคัญที่สุดคือ ขั้นตอนปฏิบัติเมื่อพบเห็นทุ่นระเบิด: ห้ามแตะต้องเด็ดขาด! ทำเครื่องหมายบริเวณที่พบ, และรายงานให้หน่วยเก็บกู้ระเบิด (EOD) ทราบทันที
นอกเหนือจากทุ่นระเบิดแล้ว การเผชิญหน้ากับกำลังพลฝ่ายตรงข้าม ก็เป็นความเสี่ยงที่ทหารต้องเตรียมพร้อม แม้จะพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะ แต่สถานการณ์อาจเกิดขึ้นได้จากการเข้าใจผิด, การรุกล้ำเขตแดนโดยไม่ตั้งใจ, หรือการยั่วยุ ทหารต้องได้รับการฝึกฝน กฎการปะทะ (Rules of Engagement - ROE) อย่างเคร่งครัด เพื่อให้รู้ว่าเมื่อใดที่สามารถใช้กำลังได้ ในระดับใด โดยเน้นการป้องกันตนเองและอธิปไตยของชาติโดยไม่ให้สถานการณ์บานปลาย การควบคุมอารมณ์และปฏิบัติตามวินัยทหารจะช่วยลดความเสี่ยงจากการปะทะที่ไม่มีเหตุผล
นอกจากนี้ ยังมี ภัยคุกคามจากธรรมชาติ เช่น สัตว์ป่าอันตราย (งูพิษ, แมงป่อง, แมลงนำโรค), พืชมีพิษ, หรือสภาพอากาศที่รุนแรง (พายุ, น้ำป่า) ทหาร
การสนับสนุนจากหน่วยบัญชาการ เช่น การจัดหาอุปกรณ์ป้องกันภัยที่ทันสมัย, การฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง, และการให้กำลังใจ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ทหารชายแดนปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยที่สุด การปกป้องอธิปไตยของชาติเป็นภารกิจอันทรงเกียรติ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าชีวิตและความปลอดภัยของกำลังพลคือสิ่งล้ำค่าที่สุด
9. กลไก/ช่องทางการประสานงานและการสื่อสาร: เส้นเลือดหล่อเลี้ยงชายแดน
ในพื้นที่ปฏิบัติการชายแดนที่มีความอ่อนไหวสูง กลไกและช่องทางการประสานงานและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ เปรียบเสมือนเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงระบบความมั่นคงทั้งหมด หากการสื่อสารบกพร่องหรือไม่ชัดเจน อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิด, การปะทะโดยไม่จำเป็น, หรือความล่าช้าในการแก้ไขสถานการณ์วิกฤต
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำความเข้าใจบทบาทของ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Boundary Commission - JBC) ซึ่งเป็นกลไกหลักในระดับรัฐบาลที่รับผิดชอบการเจรจาและแก้ไขปัญหาเขตแดน ทหารในพื้นที่ควรรับทราบถึงมติหรือข้อตกลงที่ JBC ได้บรรลุ เพื่อให้การปฏิบัติงานสอดคล้องกับนโยบายระดับชาติ และสามารถชี้แจงต่อฝ่ายตรงข้ามได้เมื่อจำเป็น นอกจากนี้ ยังมีคณะทำงานในระดับรองลงมา เช่น คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee - RBC) และ คณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (Local Border Committee - LBC) ซึ่งทำหน้าที่ประสานงานในระดับที่ใกล้ชิดกับพื้นที่ปฏิบัติการมากขึ้น
ทหารต้องรู้จัก ช่องทางการสื่อสารที่เป็นทางการ ที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นระหว่างหน่วยทหารของทั้งสองฝ่ายในระดับพื้นที่ เช่น การประชุมแลกเปลี่ยนข่าวสารประจำเดือน, การประชุมฉุกเฉินเมื่อเกิดเหตุการณ์, หรือช่องทางวิทยุสื่อสารที่กำหนดไว้ร่วมกัน การใช้ช่องทางเหล่านี้ในการแจ้งข้อมูล, สอบถาม, หรือชี้แจงสถานการณ์ จะช่วยป้องกันความเข้าใจผิดและลดความตึงเครียดได้อย่างรวดเร็ว
10. บทบาทของยูเนสโก ( UNESCO) และมรดกโลก: มิติใหม่ของการปกป้องชายแดน
สำหรับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ใกล้เคียงกับ ปราสาทเขาพระวิหาร การทำความเข้าใจถึง บทบาทขององค์การ ยูเนสโก UNESCO (องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ) และสถานะของมรดกโลก เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การที่ปราสาทเขาพระวิหารได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO ได้เพิ่มมิติความละเอียดอ่อนให้กับข้อพิพาทชายแดน และทำให้การปฏิบัติหน้าที่ของทหารต้องคำนึงถึงกรอบของกฎหมายและพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม
ปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งตั้งอยู่บนหน้าผาเป้ยตาดี ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรม เมื่อปี พ.ศ. 2551 (ค.ศ. 2008) ภายใต้การดูแลของกัมพูชา การขึ้นทะเบียนนี้เป็นการรับรองคุณค่าทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของตัวปราสาทเอง อย่างไรก็ตาม สถานะมรดกโลกได้นำมาซึ่ง พันธกรณีระหว่างประเทศ ในการปกป้องและอนุรักษ์แหล่งมรดกแห่งนี้
ทหารไทยที่ประจำการในพื้นที่ใกล้เคียงจึงต้องตระหนักว่า การกระทำใดๆ ที่อาจถูกตีความว่าเป็นการ ทำลาย, บุกรุก, หรือคุกคามแหล่งมรดกโลก อาจนำไปสู่การถูกกล่าวหาในเวทีระหว่างประเทศและส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยได้โดยตรง การใช้กำลังในพื้นที่ใกล้เคียงปราสาทจะต้องเป็นไปด้วยความระมัดระวังสูงสุด และหากมีการปะทะเกิดขึ้น ควรหลีกเลี่ยงการโจมตีที่อาจสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างของปราสาทโดยเด็ดขาด
โดย สุริยพงศ์
ขอบคุณภาพ : เพจเฟสบุ๊ก ข่าวทหาร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี