ชาวสยามไทยส่วนหนึ่งได้เข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศกัมพูชามาแต่ครั้งโบราณ โดยคนกัมพูชาเรียกคนสยามว่า “เสียม” มีการพบภาพสลักหิน ทหารขี่ช้าง “เสียมกก” ที่ระเบียงปราสาทนครวัดสมัยพุทธศตวรรษที่ 17 และเมื่อ พ.ศ. 1839 โจวต้ากวน ทูตจีนที่เดินทางไปเมืองพระนคร สมัยพ่อขุนรามคำแหงฯ บันทึกถึงชาวสยามในกัมพูชาว่า ชาวสยามเป็นคนละกลุ่มกับชาวเขมร ชาวสยามรู้จักวิธีทอเครื่องนุ่งห่ม ขายหม่อนและหนอนไหมให้ชาวเขมร
ในเอกสาร เขมรแบ่งเป็นสี่ภาค พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอธิบายไว้ว่า ชาวไทยและชาวเขมรอาศัยอยู่ปะปนกันมาแต่ยุคโบราณ โดยเฉพาะบ้านเมืองในแถบทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน ทรงยกตัวอย่างนามเมืองเสียมราฐ ที่ว่าแปลว่าเมืองคนไทยทำปลาแห้ง ซึ่งตั้งอยู่รอบนอกเมืองพระนคร
ยุคอยุธยา พงศาวดารกัมพูชาระบุว่า ในรัชสมัยพระบรมรามา (เจ้าพญาคำขัด) (พ.ศ.1906-1916) กษัตริย์กัมพูชาองค์ที่ 36 ราชสกุลตระซ็อกประแอม ซึ่งตรงกับช่วงต้นกรุงศรีอยุธยาสมัยพระเจ้าอู่ทอง กัมพูชาได้ยกทัพไปตีเมืองจันทบูรและเมืองบางคาง (ปราจีนบุรี) ก่อนกวาดต้อนคนกลับกรุงจตุมุข (ปัจจุบันคือบริเวณแถบบาสาณ อุดง ละแวก ศรีสันธร และพนมเปญ) และกวาดต้อนราษฎรปลายแดนอยุธยาไปอีก พ.ศ. 1912 พระเจ้าอู่ทองทรงให้พระราเมศวรและขุนหลวงพะงั่ว ยกทัพไปตีเมืองเขมร เพราะเขมรไม่เป็นไมตรีดังก่อน พ.ศ. 1974 เจ้าสามพระยาทรงยกทัพไปทำลายเมืองพระนคร ศรียโยธรปุระ ของกัมพูชา เพราะเขมรมากวาดต้อนคนชายแดนอยุธยาไป จนทำให้กัมพูชาต้องทิ้งเมืองพระนครหลวงให้รกร้างว่างเปล่า ย้ายไปเมืองจตุรมุข และตวลบาสาน(อยู่ในกำปงจาม) กองทัพอยุธยาได้กวาดต้อนชาวเขมรไปจำนวนมาก พ.ศ. 2125 รัชสมัยพระบรมราชาที่ 4 (นักพระสัตถา)และสมเด็จพระมหาธรรมราชาแห่งกรุงศรีอยุธยา กัมพูชายกทัพมากวาดต้อนคนสยามบริเวณชายแดนภาคตะวันออก พ.ศ. 2137 สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงยกทัพไปตีเมืองละแวกแตก พ.ศ. 2164 สมัยพระเจ้าทรงธรรม แห่งกรุงศรีอยุธยา เจ้าฝ่ายหน้าของสยามยกทัพไปภูเขาจังกางเพื่อตีเขมร แต่สมเด็จพระไชยเชษฐา กษัตริย์เขมร เคลื่อนพลไปตีทัพสยามแตก เจ้าฝ่ายหน้าหลบหนีไปได้ ส่วนไพร่พลถูกจับเป็นเชลย เชลยสยามเหล่านี้ถูกเรียกว่า "ไทยจังกาง" ใน พ.ศ. 2173 รัชสมัยพระศรีธรรมราชา และพระเจ้าปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุธยา กองทัพกัมพูชาไปกวาดต้อนชาวนครราชสีมากลับกัมพูชา
ในช่วงการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง มีคลื่นผู้อพยพชาวสยามลี้ภัยพม่ามายังเมืองเขมรและพุทไธมาศจำนวนมาก ในเวลาต่อมา สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ยกทัพเข้ามาไปยังเมืองพุทไธมาศและเมืองเขมรเมื่อ พ.ศ. 2314
ในยุคธนบุรีและรัตนโกสินทร์ มีการไปมาหาสู่ระหว่างเขตแดนของชาวไทยและเขมร ในช่วง พ.ศ. 2325 เป็นต้นมา มีกลุ่มชาวไทยอพยพลงไปตั้งชุมชนและสร้าง เมืองมงคลบุรี เมืองศรีโสภณ เมืองวัฒนานคร เมืองอรัญประเทศ เมืองพระตะบอง และเมืองเสียมราฐ ชาวไทยกลุ่มนี้ได้สร้างป้อมและกำแพงเมืองไว้อย่างมั่นคง อีกทั้งยังมีคณะละครชาวสยามข้ามไปทำการแสดงยังฝั่งเขมร ตัวละครทั้งชายและหญิงผู้มีฝีมือหลายคนเข้ารับราชการในราชสำนักของเขมร บางคนก็เข้าไปเป็นครูละคร ในจดหมายมองซิเออร์วิลแมง ถึงมองซิเออร์เดคูร์วีแยร์ ระบุว่าช่วง พ.ศ. 2328–2329 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สยามทำสงครามแพ้กัมพูชา
มีชาวไทยจำนวนไม่น้อยเข้าไปในกัมพูชาด้วยความสมัครใจ เช่นไปเป็นเจ้าพนักงาน และหลายคนเข้ารับราชการเป็นบาทบริจาริกากษัตริย์เขมร ในราชสำนักสยามและราชสำนักเขมร มีการเกี่ยวดองทางเครือญาติด้วยการเสกสมรส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในราชสำนักฝ่ายในของพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตารซึ่งทรงคุ้นเคยกับชีวิตในราชสำนักสยามมาโดยตลอด ก็มีสตรีสยามหรือหญิงลูกครึ่งสยามถวายงานอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น คุณพระนางสุชาติบุปผา พระชนนีของพระองค์เจ้าดวงจักร บาทบริจาริกาชาวสยามเหล่านี้ มีทั้งหญิงสามัญและเจ้านายจากราชวงศ์จักรี เช่น หม่อมราชวงศ์ตาด ปาลกะวงศ์ ภรรยาพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร หม่อมเจ้าพัชนี (ไม่ทราบราชสกุลเดิม) และหม่อมเจ้าปุก อิศรศักดิ์ เป็นพระเทพีของพระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตารเช่นกัน
นอกจากกลุ่มนางละครชาวสยามที่เข้าไปยังแดนกัมพูชา ก็คือกองทหารสยามที่แตกทัพในสงครามอานามสยามยุทธ พวกเขาอาศัยปะปนอยู่กับชาวเขมรกรอมแถบปากแม่น้ำโขง ประกอบอาชีพกสิกรรม ปัจจุบันอยู่ในเมืองสักซ้า (หรือกระมวนสอ) ประเทศเวียดนาม โดยยังหลงเหลือนามภูมิ คือ บ้านซแรเซียมจะส์ (ស្រែសៀមចាស់, "นาสยามเก่า") บ้านซแรเซียม-ทเม็ย (ស្រែសៀថ្មី, "นาสยามใหม่") และบ้านเซียมจอด (សៀមចត, "สยามจอด [เรือ]")[6] และยังมีกลุ่มพระภิกษุสงฆ์จากสยามเข้าไปเผยแผ่ศาสนาพุทธ และจำพรรษาในกัมพูชา ตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
คนเชี้อสายสยามที่จังหวัดเกาะกง มีชาวไทยพื้นเมืองที่อาศัยอยู่เป็นกลุ่มก้อนมาช้านานในเขตจังหวัดเกาะกง ซึ่งเดิมเป็นเมืองปัจจันตคิรีเขตรขึ้นกับกรุงสยาม มีรากเหง้าเดียวกันกับคนเชื้อสายไทยในจังหวัดตราด พวกเขามีบรรพบุรุษมาจากบ้านลาดพลี เมืองราชบุรี มีคำเล่าลืออธิบายไว้ว่าอพยพหนีสงครามกับพม่า แต่ไม่แจ้งชัดว่าในยุคกรุงศรีอยุธยาหรือธนบุรี เข้าสู่เมืองตราดหลายร้อยครัวเรือน ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ตามหมู่บ้านต่าง ๆ ตามคลองและลุ่มแม่น้ำ เช่น ลุ่มแม่น้ำเกาะปอ, แม่น้ำครางครืน, แม่น้ำตาไต, แม่น้ำบางกระสอบ, แม่น้ำตะปังรุง, แม่น้ำคลองพิพาท, อ่าวเกาะกะปิ, คลองแพรกกษัตริย์, อ่าวยายแสน, อ่าวพลีมาศ, อาหนี และอาจเลยไปถึงนาเกลือ และส่วนใหญ่มีเชื้อสายจีนประสมอยู่ด้วย
ต่อมารัฐบาลสยามยอมยกเมืองตราดและปัจจันตคิรีเขตรแก่ฝรั่งเศสตามพิธีสารลงวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2447 เพื่อให้ฝรั่งเศสถอนทหารออกจากเมืองจันทบุรี และมีการทำหนังสือลงนามระหว่างสยามกับฝรั่งเศสอีกครั้งเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2449 โดยยอมยกเมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณแก่ฝรั่งเศส เพื่อแลกกับเมืองด่านซ้าย กับเมืองตราด แต่ฝรั่งเศสไม่ได้ยกเมืองปัจจันตคิรีเขตรคืนมาด้วย ชาวไทยที่ตกค้างในจังหวัดเกาะกงจึงเปลี่ยนสภาพเป็นคนพลัดถิ่นเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ก่อน พ.ศ. 2514 มีชาวไทยที่อาศัยในเกาะกงราว 40,000 คน แต่เมื่อเข้าสู่ยุคเขมรแดง ชาวไทยในเกาะกงลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว บ้างก็โยกย้ายไปฝั่งไทย บ้างก็ถูกเขมรแดงสังหาร ทำให้ พ.ศ. 2528 เหลือชาวไทยในเกาะกงอยู่ราว 8,000 คน สมัยที่เจ้านโรดม สีหนุเป็นกษัตริย์อยู่นั้นเคยห้ามคนเกาะกงพูดภาษาไทย หากฝ่าฝืนจะถูกตำรวจจับ และบางรายโชคร้ายก็จะถูกฆ่า จากการกดขี่ดังกล่าว ชาวไทยในเกาะกงจึงอพยพเข้าสู่ประเทศไทยถึงสี่ระลอก ได้แก่ ระลอกที่หนึ่ง (พ.ศ. 2502–2512) ตรงกับยุคนโรดม สีหนุ ระลอกที่สอง (พ.ศ. 2513–2518) ตรงกับยุคลอน นอล ระลอกที่สาม (พ.ศ. 2518–2520) ในช่วงที่เวียดนามยึดครองกัมพูชา และระลอกที่สี่ (พ.ศ. 2520 เป็นต้นมา) ถือว่าเป็นผู้หลบหนีเข้าเมือง ปัจจุบันชาวไทยในเกาะกงล้วนมีเครือญาติอยู่ในประเทศไทย นิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียนในประเทศไทย และมีจิตสำนึกว่าตนเองเป็นคนไทย
ชาวไทยจากเกาะกงหลายคนมีบทบาททางการเมืองของกัมพูชา เช่น ใส่ ภู่ทอง จา เรียง (หรือ จำเรียง ศิริวงษ์) และเตีย บัญ (หรือ สังวาลย์ หินกลิ้ง) ชาวไทยในเกาะกงรวมเป็นกลุ่มพลพรรคไทยเกาะกง ด้วยมุ่งหวังความปลอดภัยและอำนาจอิสระในการปกครองตนเองของคนไทย[46] หลังสิ้นสุดยุคเขมรแดงใน พ.ศ. 2522 รัฐบาลกลางกัมพูชาประกาศยอมรับชาวไทยในเกาะกงเป็นชนชาติส่วนน้อย เป็นประชาชนกัมพูชาโดยนิตินัยเสมอภาคเท่าเทียมกับชาวเขมร มีอิสรภาพปกครองตนเอง มีสิทธิในการกำหนดนโยบายในการบริหารท้องถิ่น ในรัฐบาลฮุน เซน มีชาวไทยขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเกาะกงอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ยุทธ ภู่ทอง, บุญเลิศ พราหมณ์เกษร, รุ่ง พราหมณ์เกษร และมิถุนา ภู่ทอง แต่เดิมเกาะกงในปี พ.ศ. 2506 เคยออกกฎห้ามชาวเกาะกงพูดภาษาไทย โดยจะปรับเป็นคำละ 25 เรียล ห้ามมีเงินไทย และห้ามมีหนังสือไทยอยู่ในบ้าน หากเจ้าหน้าที่พบจะถูกทำลายให้สิ้นซาก ต่อมาในปี พ.ศ. 2507 ค่าปรับการพูดภาษาไทยเพิ่มขึ้นเป็น 50 เรียล หากไม่ปฏิบัติจะถูกแขวนป้ายประจาน แต่ทุกวันนี้ภาษาไทยมีความสำคัญมาก ชาวกัมพูชาไม่ว่าไทยหรือเขมรนิยมส่งบุตรหลานเข้าเรียนในเมืองไทย
คนเชื้อสายไทยในจังหวัดพระตะบองและบันทายมีชัย
จากการที่เขมรตกอยู่ภายใต้การปกครองของสยามตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 24–25 ช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ทำให้มีเจ้านายเขมรเข้าไปพึ่งพระบรมโพธิสมภารของกษัตริย์สยามหลายครั้งก่อนกลับไปเสวยราชย์กรุงกัมพูชา มีการส่งพระสงฆ์เขมรมาบวชเรียนในสยาม เพื่อสั่งสอนศาสนา รวมทั้งนำรูปแบบศิลปกรรมกลับไปใช้ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
มีชาวไทยหลายคนที่มีเชื้อสายกัมพูชา เช่น เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ นายควง อภัยวงศ์ หลวงเรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนะรัชต์)บิดาของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัขต์ และจิตร ภูมิศักดิ์
โดย สุริยพงศ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี