​บทความพิเศษ : ‘รู้เขารู้เขมร’ คนเชื้อสายกัมพูชาในประเทศไทย

​บทความพิเศษ : ‘รู้เขารู้เขมร’ คนเชื้อสายกัมพูชาในประเทศไทย

วันศุกร์ ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2568, 06.00 น.

คนไทยในแผ่นดินสยามกับคนขแมร์ในประเทศกัมพูชา  เป็นเพื่อนบ้านกันมาหลายร้อยปี  ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ผ่านยุคอาณาจักรต่างๆ จนถึงปัจจุบัน บางครั้งก็มีความสัมพันธ์อันดี แต่บางคราวก็ทะเลาะรบพุ่งกัน เหมือนพี่น้องในครอบครัว  ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นหลายช่วงคลื่นของการอพยพและตั้งถิ่นฐาน

สมัยทวารวดีและอาณาจักรละโว้


ราวพันปีมาแล้วดินแดนภาคกลางและอีสานของไทยเคยอยู่ในเขตอิทธิพลของวัฒนธรรมของขอมโบราณมาโดยตลอด เมืองโบราณในยุคทวารวดีหลายแห่ง เช่นอู่ทอง (สุพรรณบุรี) นครปฐม (พระประโทนเจดีย์)  ศรีเทพ (เพชรบูรณ์) รับอิทธิพลทางศิลปะและศาสนาจากขอมโบราณ ต่อมาในยุคอาณาจักรละโว้ (ลพบุรี) ซึ่งเป็นรัฐก่อนสมัยอยุธยา อิทธิพลของวัฒนธรรมขอมเข้มข้นขึ้นอย่างชัดเจน เห็นได้จากปราสาทหินมากมาย   เช่นปรางค์สามยอด ที่ลพบุรี  หรือ ปราสาทหินพิมายที่นครราชสีมา

ชุมชนดั้งเดิมเหล่านี้คือหลักฐานที่เก่าแก่  ที่แสดงว่าพวกเขาไม่ใช่ "ผู้มาใหม่" แต่คือ "ผู้อยู่ดั้งเดิม" ที่สร้างรากวัฒนธรรมร่วมบนผืนแผ่นดินนี้ ก่อนการสถาปนากรุงสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยา

สมัยกรุงสุโขทัย ศิลาจารึกและเอกสารล้านนา กล่าวถึง “ขอมอุโมงค์เสลา   และ “ขอมสบาดโขลญลำพง” ที่เป็นกลุ่มชนอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทย

สมัยกรุงศรีอยุธยา  มีชาวขอมที่อยู่ในอยุธยาแต่ดั้งเดิมบริเวณย่านบางปะอิน โดยมี ตำบลบ้านขอม(วัดยม)   เกาะขอม (เกาะท่าพระ) บ้านขอม(ต.สามเรือน อ.บางปะอิน)  ที่บริเวณวัดขนอน อ.บางบาล  และวัดโปรดสัตว์ วัดท่าเลย์ไท อ.บางปะอิน

พ.ศ. 1893 เมื่อกรุงศรีอยุธยาขึ้นมามีอำนาจ ความขัดแย้งกับอาณาจักรขอมแห่งพระนครหลวงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง หลังได้รับชัยชนะ   สยามมักใช้นโยบาย "การกวาดต้อนผู้คน" เพื่อลดทอนศักยภาพของศัตรูและเพิ่มแรงงานเพื่อพัฒนาประเทศ

พ.ศ.1975 ในสมัยเจ้าสามพระยา มีการส่งกองทัพไปโจมตีเมืองนครธม  กลุ่มคนกัมพูชาที่เป็นเชลยศึกและทาสจำนวนมากถูกอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในอยุธยาและเมืองชั้นใน เกิดเป็นชุมชน  บ้านขมิ้น เกาะโพธิ์     ในเวลาต่อมา พวกเชลยศึกดังกล่าวกลายเป็นชาวนา ทหาร และขุนนางที่มีบทบาทสำคัญในราชสำนักสยาม นำพาความรู้ด้านสถาปัตยกรรม การชลประทาน การทำเกษตร และศิลปะการแสดงเข้ามา

เอกสารคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ระบุว่า “ ทุกปีจะมีพ่อค้าชาวเมืองพระตะบอง เดินทางมาโดยคาราวานวัวต่าง มาตั้งร้านค้าอยู่ที่บ้านศาลาเกวียน  ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะเมืองอยุธยา ห่างจากหัวรอขึ้นไปราว4-5 กิโลเมตร  สินค้าที่พ่อค้านำมาได้แก่  เร่ว  กระวาน ไหม กำยาน ครั่ง ดีบุก งา  ผ้าปูม  แพรญวน ทอง  พลอยแดง ฯลฯ

ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  มีชาวเขมรนับถือคริสต์อพยพลี้ภัยจากการเบียดเบียนทางศาสนาเข้ามา  ตั้งบ้านเรือนอยูที่บ้านเขมร  เมืองบางกอก (บริเวณโบสถคอนเซปชั่น  สามเสน เขตดุสิต ในปัจจุบัน        ร่วมกับชาวคริสต์โปรตุเกส เวียดนาม และฝรั่งเศส   ในสมัยพระเจ้าท้ายสระ มีชาวกัมพูชาพวกเขมรใหม่ และเจ้านายชั้นสูง อพยพมาอยู่ใกล้วัดค้างคาว ในเกาะเมืองอยุธยา   ตอนปลายกรุงศรีอยุธยา  กัมพูชาเป็นรัฐบรรณาการของกรุงศรีอยุธยา   แต่พอกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า  กัมพูชาก็หันไปสวามิภักดิ์กับญวน      สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงยกทัพไปตีกัมพูชาแล้วทรงแต่งตั้งนักองโนน พระอนุชาของกษัตริย์เขมรที่ลี้ภัยเข้ามา ขึ้นเป็นกษัตริย์ครองกรุงกัมพูชาทรงพระนามว่า พระรามราชาธิราช   สมัยกรุงธนบุรีมีชุมชนเขมรตั้งอยู่ที่คลองสำเหร่  คลองสามเสน  คลองสำโรง  คลองทับนาง  วัดบางยี่เรือ 

พ.ศ. 2325  สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ประเทศกัมพูชาอยู่ในภาวะอลหม่าน หลังจากการสวรรคตของสมเด็จพระนารายณ์ราชา กัมพูชาเกิดความแตกแยก แย่งชิงราชสมบัติกัน  ชาวเขมรลี้ภัยมาอยู่ในกรุงเทพ บริเวณชุมชนบ้านบาตร  ถนนวรจักร และบางลำพู ในปัจจุบัน  เสนาบดีเขมร พา นักองเอง ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุเพียง 10 พรรษา หนีเข้ามาพึ่งรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์  โดยนักองเอง ได้รับการเลี้ยงดูอย่างโอรสบุตรบุญธรรม และสร้างวังพระราชทานให้ ตรงข้าม วัดสระเกศ และ ส่งกลับไปครองราชย์ ณ กรุงกัมพูชา โดยเมื่อมีพระชนมายุ 22 พรรษา ได้รับพระราชทานนามว่า “สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดี แต่การครองราชย์ของพระองค์อยู่ได้เพียง 3 ปี ก็สิ้นพระชนม์

หลังจากนั้น บรรดาโอรสของ นักองเอง  แยกเป็นฝ่ายๆ แย่งชิงอำนาจ   พระโอรสองค์ใหญ่คือ นักองจันทร์ แม้ได้รับความช่วยเหลือจากไทยให้ขึ้นครองราชย์แต่ภายหลังกลับหันไปพึ่งญวน สร้างความไม่พอใจให้กับทั้งขุนนาง และ ประชาชน ต่อมา พระโอรสองค์อื่นอย่าง นักองอิ่ม และ นักองด้วง ผู้ยืนอยู่ข้างฝ่ายไทยต้องอพยพเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ และได้รับการอุปการะให้อยู่ในวังเดิมของ นักองเอง   โดยเฉพาะ นักองด้วง ที่อยู่ในไทยถึง 29 ปี จนเป็นที่คุ้นเคยของประชาชนไทย ต่อมาได้ขึ้นครองราชย์ในกัมพูชาในสมัย รัชกาลที่ 3โดยได้รับพระราชทานพระนามว่า “สมเด็จพระหริรักษ์รามาธิบดี”

สมัย รัชกาลที่ 4 สมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษ์หรือ นักองค์ราชาวดีโอรสนักองด้วง   ที่ทรงเป็นปู่ทวดของ สมเด็จนโรดม สีหนุ  ประสูติในกรุงเทพฯ  ต่อมาได้ขึ้นครองราชย์  ทรงยอมให้อาณานิคมฝรั่งเศสเข้าปกครองกัมพูชา  เพื่อให้พ้นจากการปกครองของสยาม

ในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ มีการกวาดต้อนชาวกัมพูชามายังกรุงสยามหลายครั้ง   เช่น  สมัยกรุงธนบุรี  พ.ศ. 2314   มีการกวาดต้อนเขมรจากเมืองโพธิสัตว์ บาราย  เสียมราฐและพระตะบองมาเลี้ยงช้างที่ราชบุรีริมแม่น้ำแม่กลอง  บริเวณ อ.โพธาราม ปากท่อและ อ.บางแพ อ.วัดเพลง  เพื่อเป็นกำลังสู้รบกับพม่า       จังหวัดนครปฐมซึ่งมีอยู่ตั้งแต่ปากคลองเจดีย์บูชา สะพานรถไฟเสาวภา วัดแค ไปจนถึงวัดสัมปทวน เรียงรายไปตลอดริมแม่น้ำท่าจีน   นอกจากนี้ก็มีที่ ตำบลบ้านโพธิ์และตำบลตลิ่งชัน  อ.เมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งอพยพมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และรัตนโกสินทร์ตอนต้น  

ร่องรอยแห่งอารยธรรมแขมร์บนผืนดินอีสาน ทางภาคอีสาน อิทธิพลของอารยธรรมขแมร์แผ่ขยายผ่าน "ราชมรรคา" หรือถนนโบราณที่เชื่อมเมืองสำคัญต่างๆ    คนไทยเชื้อสายเขมร หรือ เขมรลือ จำนวนกว่าล้านคน อยู่ในจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ ตั้งแต่ตอนจักรวรรดิอังกอร์ล่มสลายด้วยการปฏิวัติของพวกทาสนำโดยนายแตงหวาน 

ในบันทึกของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ จำแนกชาวเขมรในสยาม ไว้เป็น 4 พวก คือ จำพวกที่ 1 เขมรที่เป็นชาวสยามแท้ เรียกในราชการว่า เขมรป่าดง เป็นราษฎรเมืองสุรินทร์ สังฆะ ขุขันธ์ จำพวกที่ 2 เขมรเก่า เป็นคนเขมรที่อพยพมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าตากสินบ้าง รัชกาลที่ 1 บ้าง พวกนี้อยู่ที่มณฑลราชบุรีโดยมาก จำพวกที่ 3 เขมรกลาง คือ เขมรที่อพยพมาในสมัยรัชกาลที่ 3 พวกนี้อยู่ในมณฑลกรุงเทพและมณฑลปราจีนบุรี โดยมาก จำพวกที่ 4 เขมรใหม่ คือ เขมรที่อพยพตั้งแต่ ค.ศ. 1858 มีมากในมณฑลบูรพา หรือเมืองพระตะบองเป็นต้น[6]

ชาวไทยเชื้อสายเขมรนั้นจะมีภาษาที่แตกต่างออกไปจากภาษาเขมรในประเทศกัมพูชา โดยภาษาเขมรที่ใช้พูดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง หรืออีสานใต้ จะเรียกว่า ภาษาเขมรถิ่นไทย หรือเขมรบน โดยมีความต่างจากภาษาเขมรในกัมพูชาในเรื่องของหน่วยเสียงสระ การใช้พยัญชนะ รากศัพท์ และไวยากรณ์ โดยผู้ใช้ภาษาเขมรถิ่นไทยจะสามารถเข้าใจภาษาเขมรทุกสำเนียง ส่วนผู้ใช้สำเนียงพนมเปญจะมีปัญหาในการทำความเข้าใจ

ในยุคปัจจุบัน  มีชาวกัมพูชาเข้ามาทำงานในประเทศไทยราว 5 แสนคน  ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ   ชลบุรี  สมุทรสาคร  สมุทรปราการ   ทำงานก่อสร้าง  เกษตรกรรม  โรงงานแปรรูปอาหาร  สิ่งทอ  ธุรกิจค้าปลีก งานแม่บ้าน   คัดแยกขยะ  จำหน่ายอาหารเครื่องดื่ม  ผลิตจำหน่ายเสื้อผ้าสำเร็จรูป  ค้าส่งค้าปลีกแผงลอยในตลาด สถานีบริการน้ำมัน 

พ.ศ. 2568  รัฐบาลกัมพูชารณรงค์เชิญชวนให้ชาวกัมพูชาที่ทำงานในประเทศไทยกลับไปทำงานในประเทศกัมพูชา  ทำให้มีชาวกัมพูชาเดินทางกลับไปจำนวนมาก

โดย  สุริยพงศ์

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top