วันอาทิตย์ ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
กลุ่มคนไทยเชื้อสายจีนในประเทศไทย ที่มีจำนวนมากที่สุดราว 4 ถึง 5 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 56 ของคนไทยเชื้อสายจีน คือ "ชาวไทยเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว" ซึ่งเป็นชาวฮั่นที่เป็นคนท้องถิ่นในเขตแต้จิ๋ว (เฉาโจวหรือเตี่ยซัว Chaozhou 潮州) ทางตะวันออกของมณฑลกวางตุ้ง (กว่างตง) ทางตอนใต้ของประเทศจีน ส่วนใหญ่มาจากอำเภอ เฉาอัน เฉาหยาง เฉิงห่าย ผู่หนิง เจ้หยาง และเหราผิง (Chaoan, Chaoyang, Chenghai, Puning, Chiehyang และ Jaoping) บริเวณใกล้ท่าเรือจางหลิน (Zhanglin) และเมืองซัวเถา (ซ่านโถว)
ชื่อแต้จิ๋ว มาจากคำว่าเตีย (แต้) เป็นคำโบราณแปลว่า ทะเล กับคำว่า โจว (จิ๋ว) แปลว่าเมือง ดังนั้น แต้จิ๋วจึงแปลว่า เมืองชายทะเล ชาวจีนแต้จิ๋วรุ่นเก่า ๆ ที่อพยพมาเมืองไทยบางคนบอกว่าตนมาจากเมืองแต้จิ๋ว แต่คนรุ่นหลังจะเรียกชื่อใหม่คือ เตี่ยอัน ซึ่งเป็นชื่อที่ออกสำเนียงแต้จิ๋วของอำเภอเฉาอัน (Chaoan) สังกัดเทศบาลนครซ่านโถว (ซัวเถา) รัฐบาลจีนได้ประกาศให้เมืองแต้จิ๋วเป็นเมืองประวัติศาสตร์ ในปี 2529 (1986)
เมืองแต้จิ๋วถูกขนาบข้างด้วยภูเขาและทะเลจีนใต้ มีพื้นที่ราบลุ่มเพาะปลูกน้อย มีความแออัดของประชากร และมักประสบภัยธรรมชาติอย่างน้ำท่วมและภัยแล้งอยู่บ่อยครั้ง เมื่อประกอบกับความวุ่นวายทางการเมืองและสังคมในช่วงพุทธศตวรรษที่ 24 และ 25 เช่น สงครามฝิ่น และ การจลาจลไท่ผิง ชาวแต้จิ๋วจำนวนมากจึงตัดสินใจออกเดินทางไปต่างประเทศเพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า
การอพยพของชาวแต้จิ๋วนั้นกระจายไปทั่วโลก ทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม และกัมพูชา รวมถึงประเทศอื่น ๆ อย่างแคนาดา สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และฝรั่งเศส
การอพยพของชาวจีนแต้จิ๋วมายังสุวรรณภูมิเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์หยวนของจีน หรือราวพุทธศตวรรษที่ 18 โดยมีการเดินทางเข้ามาค้าขายยังอาณาจักรสุโขทัยผ่านเส้นทางการค้าทางทะเล ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีการอพยพเพิ่มขึ้นอย่างมากเนื่องจากปัจจัยภายในจีน เช่น ความยากจน ภัยธรรมชาติ และความขัดแย้งทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งมีเชื้อสายแต้จิ๋วขึ้นครองราชย์ ทำให้ชาวจีนแต้จิ๋วจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามายังสยามด้วยความหวังและความเชื่อมั่น
เหตุผลสำคัญที่ชาวแต้จิ๋วเลือกมายังประเทศไทยคือการมีเรือสำเภาประจำทางระหว่างเมืองจีนกับสยาม และนโยบายเปิดประเทศของสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ซึ่งมีการผูกสัมพันธ์ทางการค้ากับจีนอย่างแน่นแฟ้น รวมถึงนโยบายที่ไม่เข้มงวดในการตั้งถิ่นฐานของผู้คนจากต่างแดน เพราะสยาม ที่ต้องการแรงงานจีนมาช่วยพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะในด้านการขุดคลอง สร้างทางรถไฟ สร้างถนน และการค้าขาย การเดินทางส่วนใหญ่ของคนจีนมาสยามนั้นทำโดยทางเรือเดินทะเล โดยใช้เส้นทางจากท่าเรือซัวเถา (汕头) ในมณฑลกวางตุ้งผ่านจุดพักต่างๆ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเชีย ก่อนมาถึงท่าเรือที่กรุงเทพฯ การเดินทางในสมัยนั้นเต็มไปด้วยอันตรายจากโจรสลัดและพายุ คนจีนบางส่วนขึ้นฝั่งที่จังหวัดชายทะเลเช่น ชลบุรี จันทบุรี ฉะเชิงเทรา
เมื่อมาถึงเมืองไทย ชาวแต้จิ๋วส่วนใหญ่เริ่มต้นชีวิตใหม่ จากเสื่อผืนหมอนใบ ด้วยการเป็นแรงงานกรรมกรแบกกระสอบข้าวสาร และค้าขาย เริ่มจากของเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามตลาดสด ไปจนถึงการเปิดร้านค้าของตัวเอง อาชีพที่โดดเด่นคือการค้าข้าว ค้าเกลือ ค้าทองคำ และการจับสัตว์น้ำทางทะเล เพราะมีความเชี่ยวชาญด้านการเดินเรือ นอกจากการค้าขายแล้ว ชาวแต้จิ๋วยังประกอบอาชีพช่างฝีมือ เช่น ช่างเย็บผ้า ช่างทำเครื่องเงินเครื่องทอง ช่างแกะสลัก และขายอาหาร
แหล่งที่อยู่สำคัญของชาวจีนแต้จิ๋วในประเทศไทยคือกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะย่านสำเพ็ง เยาวราช บางรัก ตลาดพลู คลองเตย และคลองสาน นอกจากนี้ยังกระจายตัวไปยังจังหวัดต่าง ๆ ในภาคกลาง เช่น นครสวรรค์ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี สงขลา(หาดใหญ่) สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต พังงา ตรัง เชียงใหม่ เชียบราย นครสวรรค์ ลำปาง โดยเฉพาะการค้าขายของชำ ข้าวสาร ผ้า เครื่องใช้ และอาหารแห้ง ต่อมาได้ขยายไปสู่อุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น โรงสีข้าว โรงงานผลิตสินค้า และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
สิ่งที่ชาวจีนแต้จิ๋วชื่นชอบคือความมั่นคง ความขยัน และการรักษาประเพณีดั้งเดิม พวกแต้จิ๋วให้ความสำคัญกับครอบครัว การศึกษา และการสืบทอดวัฒนธรรมผ่านรุ่นสู่รุ่น ในทางกลับกัน สิ่งที่ไม่ชอบคือความฟุ่มเฟือย ความไม่ซื่อสัตย์ และการละเลยต่อบรรพบุรุษ ชาวแต้จิ๋วมีลักษณะนิสัยที่โดดเด่นคือความขยันหมั่นเพียร รอบคอบ และมีทักษะในการค้าขาย ให้ความสำคัญกับการศึกษา การออม และการสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์ที่ดี ชาวแต้จิ๋วมีจิตใจเมตตา ชอบทำบุญทำทาน และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนในชุมชน ชอบรวมกลุ่มกันจัดกิจกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรม ชอบการแสดงงิ้วจีน ร้องเพลงพื้นบ้าน เล่นเครื่องดนตรีจีน ชาวแต้จิ๋วยังคงรักษาประเพณีการกราบไหว้บรรพบุรุษและการทำบุญตามวันสำคัญต่างๆ
ชาวแต้จิ๋วไม่ชอบความสิ้นเปลือง การฟุ่มเฟือย และการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น หลีกเลี่ยงการเล่นการพนันยกเว้นการเล่นไพ่ในโอกาสพิเศษ ชาวแต้จิ๋วไม่ชอบคนที่ไม่ซื่อสัตย์ ไม่เชื่อถือได้ หรือไม่รักษาคำมั่นสัญญา พวกแต้จิ๋วชอบหลีกเลี่ยงการขัดแย้งโดยตรงและชอบแก้ไขปัญหาด้วยการเจรจา การประนีประนอม และการหาทางออกที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ ชาวแต้จิ๋วไม่ชอบการทำลายประเพณีหรือการไม่เคารพผู้ใหญ่
บุคคลสำคัญเชื้อสายแต้จิ๋วในประเทศไทยมีอยู่มากมาย เช่น สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และตระกูลดังในแวดวงธุรกิจ เช่น ตระกูลล่ำซำ (ธุรกิจธนาคาร ประกันภัย), ตระกูลโสภณพนิช (ธุรกิจธนาคาร โรงพยาบาล ), ตระกูลเตชะไพบูลย์ (ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธนาคาร), ตระกูลเจียรวนนท์ (ธุรกิจเกษตร อาหาร โทรคมนาคม )
ในด้านประเพณี ชาวจีนแต้จิ๋วยังคงรักษาพิธีกรรมดั้งเดิม เช่น การไหว้เจ้าในเทศกาลตรุษจีน การจัดงานกงเต๊กเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ และการถือศีลกินเจในเดือนเก้าตามปฏิทินจีน นอกจากนี้พวกแต้จิ๋วยังนิยมเข้าวัดไทยและร่วมกิจกรรมทางศาสนาอย่างกลมกลืนกับคนไทยทั่วไป
อาหารแต้จิ๋วยอดนิยม ได้แก่ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลา ข้าวต้มปลา หมูกรอบ หอยทอด โจ๊ก ขนมจีบ ซาลาเปา เป็ดพะโล้ หอยจ๊อ แฮ่กึ๊น ข้าวขาหมู
เขตวัฒนธรรมแต้จิ๋วมิได้มีขอบข่ายอยู่เฉพาะเมืองแต้จิ๋ว เมื่อครั้งที่แต้จิ๋วยังเป็นมณฑลมีอำเภออยู่ในสังกัด อำเภอเหล่านั้นก็ล้วนเป็นเขตวัฒนธรรมแต้จิ๋วและเป็นบริเวณที่คนไทยเคยได้ยินชื่อคุ้นหูทั้งสิ้น เช่น เท่งไห้ ซัวเถา โผ่วเล้ง ฯลฯ อำเภอเฉิงห่าย หรือเท่าไห้เป็นอำเภอสำคัญ เพราะได้มีท่าเรือใหญ่เกิดขึ้นที่นี่ในต้นราชวงศ์หมิง (คริสตวรรษที่ 15 ) ชื่อว่าจางหลินหรือจึงลิ้ม ชาวแต้จิ๋วที่อพยพมาเมืองไทยในช่วงแรก ๆ ล้วนลงเรือที่ท่าจางหลิน ในสมัยต่อมาเมื่อมีการเปิดท่าเรือที่เมืองซัวเถาหรือซานโถว (Shantou) ชาวแต้จิ๋วจึงออกเดินทางจากท่าเรือซัวเถา เมืองซัวเถากลายเป็นศูนย์กลางของเขตวัฒนธรรมแต้จิ๋ว และยังเป็นมาจนทุกวันนี้
ลักษณะและกระบวนการอพยพ
เมื่อชาวแต้จิ๋วอพยพลงเรือสำเภาหัวแดงจากท่าเรือจางหลินแล้วก็จะมาขึ้นเรือที่กรุงเทพฯ ที่ท่าน้ำใกล้สำเพ็ง บางกลุ่มอาจจะไปขึ้นเรือที่ฉะเชิงเทรา หรือบางปลาสร้อย (ชลบุรี) หรือจันทบุรี เรือสำเภาจีนที่ใช้เดินสมุทรต้องมีขนาดใหญ่ถึง 3 เสากระโดงขึ้นไป ถ้าเป็นเรือหัวเขียวจะเป็นเรือจากมณฑลฟูเกี้ยน ส่วนเรือหัวเเดงมาจากมณฑลกวางตุ้ง ที่ทาสีต่างกันก็เพื่อให้สะดวกในการเรียกเก็บภาษีและการตรวจค้นทางทะเล เรือเหล่านี้มักมีระวางบรรทุกเฉลี่ย 350 ตัน เมื่อชาวแต้จิ๋วอพยพมาเมืองไทยมากขึ้น ก็ได้ใช้ไม้ที่เมืองไทยต่อเรือสำเภา เรือที่ต่อในเมืองไทยได้ชื่อว่าถูกและคงทน เรือสำเภาเหล่านี้แล่นลงสู่ทะเลใต้ (หนานหยาง) เพื่อทำการค้าขายกันประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในระยะที่ยังไม่มีเรือกลไฟนั้น การเดินทางจากจางหลินมายังประเทศไทยใช้เวลานานถึงหนึ่งเดือนส่วนใหญ่การเดินทางจะเป็นไปในลักษณะเรือใบสำเภาขนสินค้าเช่นข้าว จากประเทศไทยมายังประเทศจีนแล้วขนคนจีนไปยังประเทศไทย และก็มีสินค้าจากจีนส่งไปขายที่ประเทศไทยด้วย โดยเฉพาะผ้าไหม ชาและผักดองเค็มต่างๆ
พวกแต้จิ๋วได้ชื่อว่าเดินเรือเก่งและต่อเรือเก่งมานานแล้ว จึงเข้าดำเนินกิจการค้าสำเภาซึ่งเป็นวิถีทางเดียวของการอพยพ การเดินเรือสมัยนั้นต้องเป็นไปตามฤดูกาล กล่าวคือ อาศัยลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือในการเดินทางจากจีนมาไทย ระยะเวลาดังกล่าวจะอยู่ระหว่างเดือนมกราคมถึงเมษายน ส่วนการเดินทางไปจีนก็ต้องอาศัยลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งจะพัดระหว่างเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคมอัตราค่าโดยสารจากจางหลินมากรุงเทพฯ เป็นเงิน 6 เหรียญสเปน และเมื่อผู้มารับจ้างทำงานในกรุงเทพฯ เขาจะได้ค่าจ้างประมาณเดือนละ 3-4 เหรียญสเปน เงินเหล่านี้จะถูกหักไปชดใช้เป็นค่าโดยสาร
เฉินต๋า ได้บรรยายสภาพของการเดินทางเรือสำเภาของชาวจีนผู้หนึ่งเมื่อปี พ.ศ. 2413 ไว้ดังนี้
“เมื่อข้าพเจ้าเป็นเด็กชาย หมู่บ้านของเรามีเรือสำเภาเดินทะเลแปดลำ ในการเดินทางลงไปทางใต้ เรือสำเภาเหล่านี้มักไปยังกรุงเทพฯ บรรทุกถั่ว ชา และไหม เป็นสินค้าที่สำคัญเรือสำเภาลำใหญ่ที่สุดบรรทุกผู้โดยสารกว่าสองร้อยคน ผู้โดยสารคนหนึ่งๆ มักจะนำไหน้ำซึ่งทำในท้องถิ่น พร้อมกับเสื้อใส่หน้าร้อนสองชุด หมวกฟางกลม ๆ หนึ่งใบ และเสื่อฟางหนึ่งผืนติดตัวมาด้วย การเดินทางจากซัวเถามากรุงเทพฯ กินเวลาหนึ่งเดือน หลังจากที่ก้าวลงเรือสำเภาแล้ว เราทำอะไรไม่ได้ นอกจากภาวนาสวรรค์ให้เราเดินทางตลอดรอดฝั่งโดยปลอดภัย”
การเดินทางเป็นไปด้วยความกันดารและลำบาก ชาวแต้จิ๋วอพยพไม่น้อยที่ล้มตายไป เพราะความอดอยาก ส่วนใหญ่ผู้อพยพจะถูกจัดให้อยู่บนดาดฟ้าเรือเพราะท้องเรือใช้บรรทุกสินค้าจนเต็ม ผู้อพยพจึงต้องตากแดดตากลมตลอดทาง และมักขาดอาหารและน้ำเพราะการเดินทางกินเวลานาน
เนื่องจากมีความต้องการแรงงานสำหรับการเกษตรและการก่อสร้างในไทย ผู้อพยพชาวแต้จิ๋วเหล่านี้จึงพากันเดินทางมาหางานกันเป็นจำนวนมาก ครอฟอร์ด กล่าวว่า “ผู้โดยสารเป็นสินค้าเข้าที่มีมูลค่ามากที่สุดจากเมืองจีนมายังสยาม” ประมาณว่ามีชาวจีนจำนวนประมาณ7,000 คน อพยพมายังประเทศไทยในแต่ละปี เมื่อถึงปีพ.ศ. 2392 ซึ่งเป็นปีก่อนสุดท้ายของรัชสมัยรัชกาลที่ 3 มัลลอคได้ประมาณว่ามีชาวจีนอยู่ในประเทศไทยถึง 1 ล้าน 1 แสนคน ในขณะที่ประชากรทั้งหมดของไทย ขณะนั้นมีประมาณ 3,653,150 คน เมื่อหมอบรัดเลย์ไปเยือนเมืองชายฝั่งทะเลตะวันออกในปี พ.ศ. 2379 ก็ได้กล่าวไว้ว่าจันทบุรีและบริเวณใกล้เคียง “แผ่นดิน..เกือบจะเต็มไปด้วยจีนแต้จิ๋ว (ผู้ซึ่ง) ..ปลูกอ้อย พริกไทย และยาสูบเป็นส่วนใหญ่” ชาวแต้จิ๋วได้ขยับขยายขึ้นไปตั้งหลักแหล่งถึงจังหวัดตากและเชียงใหม่ในกลางพุทธตวรรษที่ 24 เพราะความดึงดูดทางการค้าที่เชื่อมโยงยูนนาน พม่า และลาว ถึงแม้ชาวจีนไหหลำจะเป็นกลุ่มแรกที่เสี่ยงภัยออกไปตั้งหลักแหล่งอยู่ตามเมืองในชนบทต่าง ๆ ก็ตามแต่หลังจากที่ได้มีการสร้างเส้นทางคมนาคมแล้ว ชาวแต้จิ๋วก็ขยับขยายไปตั้งหลักแหล่งในเมืองเหล่านั้นบ้าง และในที่สุดก็ช่วงชิงบทบาททางการค้าจากชาวไหหลำ
หลังจากเดินทางมาถึงประเทศไทยแล้ว ชาวแต้จิ๋วต่างก็มีโชคชะตาที่ต่างกันไป บางคนประสบความสำเร็จในชีวิตได้กลายเป็นเจ้าสัวฝังรกรากอยู่ในเมืองไทยตลอดมา บางคนหลังจากทำมาหากินอยู่ในเมืองไทยระยะหนึ่งก็กลับคืนไปสู่บ้านเกิดเมืองนอน และบางคนที่โชคร้าย มีชีวิตที่ลำบากยากเข็ญและตายไปในเมืองไทยเสมือนไร้ญาติขาดมิตร ชาวแต้จิ๋วจึงมีคำกล่าวเล่นๆ ที่เรียกว่า ซาซัว หรือซัวสามประการ ประการแรกได้แก่ จ๊อซัว หมายถึงการเป็นเจ้าสัว คือคนกลุ่มแรกที่กล่าวมาแล้ว ประการที่สองได้แก่ตึ่งซัว หมายถึงการได้กลับไปเมืองจีน คือคนกลุ่มที่สอง และประการสุดท้ายได้แก่ งี่ซัว หมายถึง สุสานวัดดอน คือการถูกฝังเป็นผีไม่มีญาติอยู่ในสุสานใหญ่ของชาวแต้จิ๋วในวัดดอนกุศล ยานนาวา
โดย อาทร จันทวิมล
ขอบคุณภาพ wikipedia
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี